ยามราตรีใกล้มาเยือน ดวงจันทร์ค่อย ๆ ลอยเหนือท้องฟ้า
มู่ซืออวี่คันจมูกยุบยิบ สุดท้ายก็จามออกมา “ฮัดชิ้ว!”
“คิกคิก” เสียงหัวเราะดังเข้ามาในหูของนาง
มู่ซืออวี่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ นั่งยิ้มอยู่ข้างนาง “เจ้าเด็กน้อยคนนี้นี่”
“ท่านแม่สลบเหมือดเลยเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวอย่างฉุนเฉียว “ตอนนี้ก็มืดแล้ว ยังไม่ตื่นอีก”
มู่ซืออวี่กวาดตามองไปด้านนอก บรรยากาศโดยรอบปกคลุมไปด้วยความมืดมิดแล้ว
โชคดีที่ในห้องนอนมีแสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันที่ถูกจุดบนตู้อันทรุดโทรม
มู่ซืออวี่ปวดศีรษะตุบ ๆ
“ข้าดื่มมากเกินไปรึถึงจำอะไรไม่ได้เลย?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ อวิ๋นเอ๋อร์ออกไปเล่นกับเพื่อนตั้งแต่หัววัน ท่านพ่อเป็นคนคอยดูแลท่านแม่” ลู่จื่ออวิ๋นกะพริบตาพลางกล่าวอย่างไร้เดียงสา
“พ่อของเจ้า?” มู่ซืออวี่เลื่อนสายตาลง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าของตนยังครบชุด
ค่อยยังชั่ว ยังบริสุทธิ์อยู่
จริงสิ! เจ้าของร่างเดิมเสียความบริสุทธิ์ไปนานแล้วนี่
นางยังคงคิดว่าตนเองเป็นหญิงสาววัยแรกแย้ม ใครจะคิดว่าต้องมาอยู่ในร่างของหญิงที่มีลูกแล้ว เสียดายความบริสุทธื์จริง ๆ
“ท่านแม่รู้สึกไม่ดีหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นสัมผัสได้ถึงอารมณ์เศร้าของมู่ซืออวี่
“เปล่าเลย” มู่ซืออวี่กล่าวพลางมัดผม นางไม่รู้จักวิธีทำผมตามแบบฉบับสตรีโบราณ จึงทำได้เพียงมัดเป็นมวย เพื่อไม่ให้ผู้อื่นรู้สึกประหลาดใจ นางจึงนำผ้ามาพันรอบศีรษะไว้ จนกระทั่งตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกประหลาดของนาง
คนโบราณช่างโง่เขลาเสียจริง
นางคิดในใจอย่างมีความสุข
“เย็นมากแล้ว เจ้าหิวหรือไม่? ข้าจะไปทำอาหารมาให้”
“ท่านพ่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “อันที่จริงนี่ไม่ใช่อาหารที่ทำยากอะไร ท่านพ่อเห็นผักเหลือเยอะก็เลยทำข้าวต้มผักป่า”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน แม่และลูกสาวก็เดินมาถึงโต๊ะอาหารแล้ว
ลู่ฉาวอวี่วางตะเกียบในมือลง
ลู่เซวียนหาวพลางเหลือบมองมู่ซืออวี่ “ถ้าไม่รู้ขีดจำกัดของตนก็ไม่ควรดื่ม พี่ชายของข้าถูกเจ้าข่วนหน้า จะให้เขาออกไปพบปะผู้คนได้อย่างไร?”
“ข้า?” มู่ซืออวี่ชี้ไปยังปลายจมูกของสามี “เป็นไปได้อย่างไร? ข้าดื่มเก่งยิ่งกว่าผู้ใด”
ลู่อี้เดินออกมาพร้อมถ้วยข้าวในมือ เมื่อได้ยินสิ่งที่นางกล่าวก็เงยหน้าขึ้นพลางจ้องมองมาอย่างเย็นชา เผยให้เห็น ‘บาดแผลที่เป็นหลักฐาน’ ได้ชัดเจน
มู่ซืออวี่ชะงักไปทันที
“นี่ฝีมือของข้าหรือ?”
นางชี้ไปยังไปจมูกอีกฝ่ายอย่างเขินอาย
“อืม”
“ขออภัย!” มู่ซืออวี่เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “เจ็บหรือเปล่า?”
ลู่อี้เลิกคิ้ว เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายก็ตอบกลับไปว่า “เจ็บ”
มู่ซืออวี่ละอายใจมากกว่าเดิม
“ครั้งต่อไป หากข้าเมาก็อยู่ให้ห่างข้าเถอะ”
มู่ซืออวี่นั่งลงตรงข้ามลู่อี้ ทันใดนั้นนางพลันพบว่าเขาไม่เพียงมีรอยแผลบนจมูกเท่านั้น แต่ยังมีรอยข่วนที่คอด้วย
หญิงสาวใบหน้าแดงก่ำด้วยความละอายใจ พยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาแทน
เกิดอะไรขึ้น?
นางทำอะไรลงไป?
เขามีรอยข่วนที่คอด้วย นางไม่ได้ดื่มเหล้าเมามายจนเสียสติใช่หรือไม่?
แม้นางจะยอมรับกับร่างนี้แล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดจะสร้างปัญหาหรือข้องเกี่ยวกับเขาอีก นางวางแผนที่จะหาเงินเพื่อช่วยเหลือครอบครัว และปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ ส่วนเรื่องลูกก็ช่วยกันดูแลได้
นี่คือวิธีการหย่าร้างของคู่สามีภรรยาสมัยใหม่ไม่ใช่หรือ? แม้จะยุติบทบาทของสามีภรรยาก็ยังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จะได้ไม่ส่งผลต่อการเลี้ยงดูบุตรหลังจากที่หย่าร้าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุเข้ามาเป็นวายร้าย
กำลังสนุกเลยค่ะ ขอบคุณแอดที่ลงให้อ่านนะคะ แต่ถ้าลงวันละ 10 ตอนจะดีมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ...
รออ่านบทต่อไปค่ะ...