ท่านแม่โจวรู้ว่าหลินชิงเหอยกของหลายอย่างให้น้องชายสามตระกูลหลิน
“น้องชายของเธอช่างขี้เกรงใจจริง” ท่านแม่โจวเอ่ย นางเองก็รู้ว่าน้องชายคนนี้เพิ่งนำไก่ฟ้ามาให้ในตอนเช้าตรู่
ยิ่งกว่านั้นนางยังรู้ดีว่าสะใภ้สี่มีปฏิสัมพันธ์กับแค่น้องชายสามจากตระกูลฝั่งแม่เท่านั้น จึงไม่มีอะไรต้องพูดอีก
หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับน้องชายสามตระกูลหลินมากนัก
มันมีเรื่องบางอย่างที่สามารถอธิบายให้ท่านแม่โจวฟังได้ และมีบางเรื่องที่หลินชิงเหอไม่อยากพูดมากนัก
หลินชิงเหอนำไก่ฟ้าตัวนี้ไปแกง เธอสับมันเป็นชิ้น ๆ จึงไม่มีเนื้อส่วนใดที่ใครจะยึดไว้กินคนเดียวได้
แกงไก่ฟ้าตุ๋นถูกยกมาตั้งทานคู่กับหมั่นโถวถั่วแดง ทำให้ทั้งครอบครัวรู้สึกพอใจมาก
ต้องบอกว่าทักษะการตุ๋นแกงของหลินชิงเหอเข้าขั้นสุดยอดเลยทีเดียว
ความจริงแล้วคนที่นี่ไม่มีนิสัยชอบกินน้ำแกงกันเท่าไหร่ หลินชิงเหอเองก็มีชีวิตชาติที่แล้วอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ แต่เธอชอบวัฒนธรรมของทางตอนใต้มาก
โดยเฉพาะความสามารถในการปรุงน้ำแกงของคนแดนใต้ ซึ่งเธอชอบมากเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบสารพัดชนิดอะไรก็ตาม ทุกอย่างสามารถนำมาตุ๋นเป็นน้ำแกงได้หมด
ฟังดูอาจจะเกินจริงอยู่ แต่ไม่มีอะไรที่คนภาคใต้ไม่กล้ากิน โดยเฉพาะเหล่าคนที่อยู่ในมณฑลกวางตุ้ง
หลินชิงเหอไม่ได้จะดูถูกพวกเขาหรอกนะ กลับกันเธอชอบวิธีการปรุงน้ำแกงของพวกเขามาก
วันเวลาในฤดูหนาวนี้ช่างเป็นเวลาดีที่หลินชิงเหอจะแสดงทักษะด้านนี้จริง ๆ
ติดแค่ว่ามีวัตถุดิบน้อยเกินไปหน่อย ที่ได้กินบ่อย ๆ ก็จะเป็นแกงจืดหัวไชเท้า นอกนั้นก็เป็นแกงจืดสาหร่ายกับแกงจืดกุ้งแห้ง ส่วนอย่างอื่นนั้นไม่มี
ในอากาศหนาวจนหิมะตกแบบนี้ หลินชิงเหอก็ไม่มีอะไรจะทำหลังจากช่วยท่านแม่โจวถักกางเกงไหมพรมสองตัว
ดังนั้นในแต่ละวัน เธอจึงเรียนหนังสือกับเจ้าใหญ่และเจ้ารอง ตั้งโจทย์ถามสองพี่น้องและเฉลยคำตอบที่ถูกต้องให้พวกเขา
ส่วนโจวชิงไป๋ออกไปนอกบ้านในบางครั้ง แต่บางครั้งเขาก็จะดูพวกเขาเรียนหนังสือกันที่บ้าน และเขาเองก็หยิบหนังสือมาอ่านเหมือนกัน
หลินชิงเหอบอกเขาให้ถามเธอหากมีตรงไหนไม่เข้าใจ แต่โจวชิงไป๋ไม่เคยถามเธอมาก่อนเลย หลินชิงเหอจึงรู้สึกว่าชายคนนี้สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ด้วยตัวเอง
“ฉันได้ยินคุณแม่พูดว่าบรรพบุรุษตระกูลโจวของคุณต่างเป็นคนไร้การศึกษาทั้งหมด ตอนแรกฉันก็คิดว่าเด็ก ๆ จะได้พรสวรรค์ในการเรียนหนังสือมาจากฉัน แต่ตอนนี้เหมือนพวกเขาจะได้จุดเด่นเรื่องนี้มาจากคุณเสียแล้วสิคะ” หลินชิงเหอบอกเขา
โจวชิงไป๋มีการศึกษาดีเยี่ยมทีเดียว เขาได้เรียนถึงชั้นมัธยมต้น ซึ่งในยุคนี้ถือว่าไม่เลวเลย แต่หลังจากนั้นครอบครัวของเขาก็เผชิญกับความยากจน เขาจึงออกจากโรงเรียนเพื่อไปเป็นทหาร
แม้เขาจะได้เรียนเพียงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แต่ลายมือของโจวชิงไป๋ก็สวยงามมาก
มีพลัง แข็งแกร่ง และเรียบตรง คำเหล่านี้เหมือนกับตัวตนของเขา ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องโกหกเลย
“เหมือนคุณต่างหาก” โจวชิงไป๋ตอบ
ความรู้ของเขาสู้ภรรยาไม่ได้หรอก เขารู้สึกว่าภรรยาของเขาอย่างน้อยต้องจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย หรือสูงกว่านั้น
มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อนัก
เขาไม่กล้าคิดไปไกลกว่านั้น ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าภรรยาของเขาเรียนรู้เนื้อหาในชั้นมัธยมศึกษาด้วยตัวเอง
หลินชิงเหอยิ้มโดยไม่เห็นฟันและไม่เถียงเขาในเรื่องนี้อีกต่อไป เธอหันไปพูดเรื่องของโจวเสี่ยวเม่ยแทน “ทั้งสองคงมาฉลองวันปีใหม่ปีนี้ที่นี่ไม่ได้แน่ ๆ เลยค่ะ ดังนั้นพวกเขาต้องรับเฉิงเฉิงกลับไปแทน”
“เป็นเรื่องดีนะที่ได้อยู่ด้วยกันในวันปีใหม่” โจวชิงไป๋พยักหน้า
เมื่อเห็นว่ามันเกือบได้เวลาต้องล้างเท้าและเข้านอนแล้ว โจวชิงไป๋ก็ลุกไปตักน้ำใส่หม้อให้ทั้งคู่ได้ล้างเท้า
ก่อนที่หลินชิงเหอจะก้าวขึ้นเตียงเตา เธอก็มองเจ้าใหญ่กับเจ้ารอง ตามกฎแล้วมีเจ้าสามที่ได้นอนในห้องของพ่อแม่
ปีหน้าเขาจะมีอายุ 5 ขวบแล้ว และจะมานอนรวมกับพี่ชายทั้งสองโดยไม่กลับมานอนกับพ่อแม่อีก
เมื่อเธอกับโจวชิงไป๋ก้าวขึ้นเตียงเตา เจ้าสามก็นอนหลับปุ๋ยเป็นลูกหมูไปแล้ว
แล้วก็เป็นเหมือนเคยที่โจวชิงไป๋อยากจะจ่ายทบต้นทบดอกกับเธอ แต่หลินชิงเหอก็เอ่ยขึ้นมา “คืนนี้ไม่สะดวก นอนเถอะนะคะ”
โจวชิงไป๋ได้ยินก็ยอมจำนน จากนั้นก็นอนกอดภรรยาจนหลับไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงวันสิ้นปี ซูเฉิงน้อยถูกซูต้าหลินมารับไปฉลองปีใหม่ในเมือง
ส่วนฝ่ายผลิตแบ่งเนื้อส่วนสุดท้ายของปี ทุกคนต่างพร้อมที่จะฉลองเทศกาลปีใหม่
ปีนี้เป็นปีค.ศ. 1972 แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...