ต่อให้คนทั้งหมู่บ้านชี้นิ้วด่าเธอลับหลัง เธอก็ไม่เคยอธิบายสักคำ
จากนั้นจู่ ๆ เธอก็กลายเป็นครูประจำโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลไปแล้ว
ในภายภาคหน้า ไม่เพียงแต่เธอจะได้แต้มค่าแรง 5 แต้ม แต่ยังได้เงินเดือนมากกว่า 10 หยวน ซึ่งมากกว่าค่าแรงที่สามีของเธอได้มาเสียอีก
มีชามข้าวเหล็กแบบนี้แล้ว ใครจะกล้าพูดถึงข้อบกพร่องของสะใภ้สี่อีก?
ต้องใช้ภาษิตเก่าบอกว่าสิ่งที่สะใภ้สี่ทำมานั้นคือ การบำเพ็ญตบะเพื่อสร้างบารมี
ยิ่งกว่านั้น ลูกชายสี่แห่งบ้านโจวช่างทำให้คนอื่นอิจฉาจริง ๆ ก่อนหน้านี้เขาสามารถหาเงินได้ ตอนนี้เขากลับหาเงินไม่ได้และต้องไปทำไร่ไถนา แต่ภรรยาของเขาหาเงินได้
แม้เงินที่ได้จะมีแค่ 13 หยวนต่อเดือน ซึ่งห่างไกลจากจำนวนที่ลูกชายสี่แห่งบ้านโจวหามาได้เมื่อก่อนหน้านี้ แต่มันก็ยังมีแต้มค่าแรง หลังบวกแต้มค่าแรง 5 แต้มเข้าไปแล้ว มันจะมากเท่าไหร่กันล่ะ?
ชีวิตของลูกชายสี่แห่งตระกูลโจวช่างอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนนัก
เขาแต่งงานกับภรรยาที่หุงหาอาหารได้ ดูแลครอบครัวได้ และหาเงินได้ ไม่มีใครเทียบได้อีกแล้ว
พี่ชายรองรู้สึกปั่นป่วนอยู่ในใจเมื่อได้ยินดังนี้ สะใภ้รองก็ร้องไห้เศร้าโศกยิ่งกว่าเดิม
หล่อนอยากจะตีเสมอกับหลินชิงเหอ แต่หล่อนก็ไม่มีวันสู้เธอได้เลยในชีวิตนี้
พี่ชายรองจับความคิดของหล่อนได้คร่าว ๆ และไม่กวนหล่อน เมื่อหล่อนร้องไห้ออกมาคงหมายความว่าหล่อนคิดได้แล้ว
ความจริงก็คือ มีหลายคนในหมู่บ้านทีเดียวที่มีความรู้สึกเหมือนกับพี่ชายรอง
ทั้งหมู่บ้านเอาแต่พูดเกี่ยวกับหลินชิงเหอลับหลังในเรื่องการใช้จ่ายเงินของเธอและการที่เธอไม่เคยทำงานในไร่นาเลย
พวกเขาเห็นคนบางคนที่ไม่รู้จักใช้ชีวิตมาก่อน แต่ก็ไม่ถึงขนาดนี้ คนที่มีชีวิตสมบูรณ์แบบกลับเป็นคนที่ไม่ได้ทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพล่ะ คุณเชื่อเรื่องนี้ไหม?
ถ้าน้ำลายสามารถทำให้ผู้คนจมลงได้ ใครจะรู้ว่ามีกี่ครั้งที่หลินชิงเหอจมลงเมื่อก่อนหน้านี้
แต่ใครจะคิดว่าหลินชิงเหอจะแอบเรียนด้วยตัวเอง? และจู่ ๆ เธอก็สร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่แบบนี้ออกมา
เพียงพลิกฝ่ามือเดียว เหล่าบัณฑิตรุ่นเยาว์ทั้งหลายก็โดนสยบ พวกเขาไม่อาจแย้งเธอได้แม้แต่คำเดียว เธอกลายเป็นครูของโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลอย่างเป็นทางการ
เรื่องนี้ช่างมหัศจรรย์จริง ๆ
พวกเขาเคยคิดว่าการที่หลินชิงเหอแต่งตัวสวยราวกับคนในเมืองเป็นการกระทำที่หน้าใหญ่ใจโต แต่ตอนนี้ยิ่งพวกเขาเห็นเธอ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่านี่เป็นการแต่งตัวที่คนเป็นครูควรจะเป็น เธอมีความรู้มีการศึกษา ดังนั้นเธอจึงมีบุคลิกลักษณะแบบนั้นได้
เรื่องที่เธอสอบได้คะแนนเต็มทั้งสองวิชาแพร่ไปถึงหูฝ่ายผลิตบางคนในตำบล โดยไม่มีการใส่สีตีไข่แม้แต่น้อย
จากนั้นคนทั้งรัศมีสิบลี้แปดหมู่บ้านก็ได้ยินเสียงร่ำลือถึงกิตติศัพท์ของหลินชิงเหอ เธอเป็นคนประหลาดเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยลงงานในทุ่งนาเลย
เมื่อเรื่องนี้แพร่สะพัดไปในตอนนี้ มันก็ได้กลายเป็นตำนาน โดยไม่ต้องอาศัยหลินชิงเหอบอกเล่าให้ฟัง ทุกคนก็นึกภาพออกถึงภาพที่เธอกำลังขยันเรียนอย่างหนักในหลายปีที่ผ่านมานี้โดยไม่สนใจคำนินทาว่าร้ายด้านนอก
เมื่อเธอออกจากบ้านในแต่ละครั้ง สายตาของผู้คนที่มองเธอก็เปี่ยมด้วยความชื่นชม เมื่อเห็นเธอแล้วพวกเขาก็เต็มใจที่จะทักทายเธอ
หลินชิงเหอไม่ได้เย็นชาต่อการเข้าสังคมขนาดนั้น เมื่อมีคนทักทายเธอ เธอก็ทักทายตอบและไม่แสดงท่าทางหยาบคายนัก
เพียงแต่ว่ามันมีช่องว่างระหว่างวัยอยู่เท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะสื่อสารกับคนเหล่านั้นติด เธอก็เลยไม่ได้เอ่ยอะไรมาก
สรรพนามที่ใช้เรียกเธอเปลี่ยนจากแม่เจ้าใหญ่เป็นคุณครูหลินในทันที
หลินชิงเหอกลับไปที่บ้านพร้อมผักป่าหนึ่งตะกร้าอยู่บนหลัง ในที่สุดเธอก็หายใจหายคอได้เสียที มันตื่นเต้นมากที่ได้เป็นครูในโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบล มันก็เป็นเวลาหลายวันมากแล้ว แต่ผิดคาดที่ควันหลงจากเหตุการณ์นี้กลับไม่แผ่วลงเลย
ยิ่งกว่านั้นเธอยังถูกสรรเสริญจนถึงกับเขินหน้าแดงเมื่อได้ยินดังนั้น เกิดอะไรขึ้นน่ะ? เธอขยันหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?
ถึงอย่างนั้น หลินชิงเหอก็ยังชอบสรรพนามว่า คุณครูหลิน อยู่ดี
ไม่นานนักเจ้าสามก็กลับมา หลินชิงเหอกำลังนวดแป้งอยู่ในครัวและเอ่ยกับเจ้าสามที่อยู่นอกหน้าต่าง “เจ้าสาม ล้างผักป่าให้แม่หน่อย แม่จะทำเกี๊ยวผักป่าให้กินคืนนี้”
“ครับแม่” เจ้าสามตอบแล้วก็ไปล้างผักป่า
เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างมากกับงานนี้ หลินชิงเหอมักใช้ให้เขาทำงานบ้านบ่อย ๆ ต่อให้เขาเป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัวก็ตาม เขาก็ต้องทำโดยไม่ละเว้นหากมีสิ่งใดที่ต้องทำให้เสร็จ
ส่วนในเรื่องอาหารนั้น หลินชิงเหอตามใจเขามากเป็นพิเศษ
อย่างเช่นหากเขาต้องการจะกินหมั่นโถวนม หลินชิงเหอก็ทำให้เขากินแม้มันจะเป็นเรื่องลำบากยุ่งยากก็ตาม
“เกี๊ยวไส้หมูกับผักป่าน่ะ” หลินชิงเหอตอบ
เจ้าใหญ่รับรู้แล้วก็เดินไปหยิบลูกอมกับเจ้ารองคนละหนึ่งเม็ด เมื่อพวกเขากินลูกอมแล้วก็คว้าตะกร้าใส่ผักขมและเดินออกจากบ้าน
สองพี่น้องต้องออกไปเก็บผักขม
ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงแล้ว พวกเขาจะไม่กลับมาที่บ้านจนกว่าจะถึงห้าโมงครึ่ง
หลินชิงเหอปล่อยพวกเขาไป จากนั้นห่อเกี๊ยวต่อกับเจ้าสาม เมื่อเกี๊ยวทั้งหมดถูกห่อเสร็จก็หมายความว่างานเสร็จแล้ว เมื่อใดที่พ่อและลูก ๆ กลับมาเธอค่อยต้มมัน
จากนั้นหลินชิงเหอก็ไปเย็บพื้นรองเท้า
ท่านแม่โจวที่พาซูเฉิงน้อยมาเยี่ยมยิ้มทักเมื่อนางเห็นเธอกำลังเย็บพื้นรองเท้าอยู่ “พักสักประเดี๋ยวก็ได้ ตลอดทั้งวันนี้ฉันไม่เห็นเธอพักเลย”
ขณะท่านแม่โจวเอ่ยดังนี้ นางก็รู้สึกละอายไปด้วย
เป็นสะใภ้สี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เธอทำให้ทั้งครอบครัวได้อยู่อย่างสุขสบายแล้วยังมีเวลามานั่งเรียนวิชาและสอบเป็นครูได้ด้วยคะแนนที่เหนือกว่าเหล่าบัณฑิตหนุ่มสาว ทำไมเมื่อก่อนนางถึงไม่ปฎิบัติตัวต่อเธอให้ดีกว่านี้นะ?”
หลินชิงเหอไม่รู้ว่าท่านแม่โจวคิดอะไรอยู่ ไม่อย่างนั้นเธอคงพูดอะไรไม่ออก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันต้องคว้าเวลาที่ยังว่างอยู่เพื่อทำรองเท้าสำรองให้ชิงไป๋อีกสองคู่” หลินชิงเหอเอ่ย
เมื่อใดที่โรงเรียนเปิด ถึงตอนนั้นมันจะยุ่งมาก
“นับแต่ตอนนี้เธอปล่อยให้งานเย็บปักถักร้อยเป็นหน้าที่แม่เถอะ เธอทำเพียงสอนหนังสือให้ดีก็พอ แม่ว่างหุงหาอาหารให้อยู่” ท่านแม่โจวยิ้ม
………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
จากอดีตที่เคยดังในทางลบ ตอนนี้แม่กลายเป็นคนดังในทางบวกของหมู่บ้านไปแล้วค่ะ การศึกษามันช่วยได้จริง ๆ แม่ตกเอฟซีไปได้ทั้งหมู่บ้านเลย รวมท่านแม่โจวด้วย
ไหหม่า(海馬)
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...