ป้าไฉ่ที่บุตรสาว 4 คนได้ออกเรือนกันไปแล้ว ย่อมเข้าใจความหมายของท่านแม่โจว
ลูกสาวของนางมีอายุถึงวัยที่จะออกเรือนพอดี และนางก็ไม่อยากให้ลูกสาวคนเล็กออกเรือนไปไกลนัก จึงไม่ต้องกล่าวเลยว่านางได้ทำการตรวจดูทุกคนในหมู่บ้านของตัวเองแล้ว
และก็พบว่าโจวต้งเข้าข่ายว่าที่ลูกเขยของป้าไฉ่พอดี
ท่านแม่โจวบอกใบ้แล้วก็หยุดเรื่องนี้ นางเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นหลังได้เอ่ยเรื่องนี้ไปแล้ว จากนั้นนางก็กลับมา
ป้าไฉ่เองก็นำเรื่องนี้ไปคุยกับสามี
“จะว่าไปแล้วทำไมแม่โจวถึงมาคุยเรื่องนี้กันนะ?” ป้าไฉ่เอ่ย
“โจวต้งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวของโจวชิงไป๋ ฝ่ายนั้นต้องช่วยโจวต้งตัดสินใจแน่ ด้วยสภาพครอบครัวของเราแล้ว ในอนาคตข้างหน้าเขาจะได้รับการสนับสนุนแน่หากแต่งงานกับลูกสาวเรา และเราก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะรังแกปาเม่ยด้วย ผมคิดว่ามันก็ดีนะ” ลุงไฉ่แสดงความเห็น
ป้าไฉ่ยิ้มกริ่ม “ฉันไม่กังวลว่าเขาจะรังแกปาเม่ยหรอกค่ะ แค่คิดถึงชีวิตในอนาคตข้างหน้า ว่าพวกเขาจะไม่มีใครสนับสนุนเลยเหรอ?”
“พวกเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน พวกเขาจะต้องการคนสนับสนุนไปทำไมล่ะ? ปาเม่ยน่ะเป็นคนอ่อนโยน การที่โจวต้งเป็นคนแบบนั้นแล้วเขาย่อมไม่รังแกเธอ เรื่องนี้เราวางใจได้” ลุงไฉ่พูด
เมื่อคุยกันเรื่องแต่งงาน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือความกระตือรือร้นของแต่ละฝ่าย หากทั้งสองฝ่ายมีความเห็นพ้องต้องใจกัน การแต่งงานก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วฉับไว
เพียงสองวันหลังจากนั้น ป้าไฉ่ก็คุยเรื่องนี้กับท่านแม่โจว แล้วพวกนางก็มีความเห็นว่าควรให้หนุ่มสาวทั้งสองได้มีเวลาเที่ยวรอบเมืองกันดีไหม?
ท่านแม่โจวเอ่ยอย่างลิงโลด “ฉันให้พวกเขายืมจักรยานที่บ้านได้นะ แต่ไม่รู้ว่าโจวต้งจะขี่เป็นไหม”
“เยี่ยมไปเลยค่ะ ถ้าเรื่องนี้ลงตัว พี่ก็จะส่งซองแดงให้คุณน้องนะคะ” ป้าไฉ่ยิ้มกริ่ม
ท่านแม่โจวอ่อนอาวุโสกว่านาง แต่เมื่อเป็นเรื่องหาคู่แล้วมันก็ไม่เป็นไรที่จะรับสินน้ำใจจากอีกฝ่าย ท่านแม่โจวจึงไม่ปฏิเสธ
จากนั้นนางก็นำเรื่องนี้มาบอกกับหลินชิงเหอ
หลินชิงเหอนำจักรยานให้เขายืมขี่ ซึ่งโจวต้งขี่จักรยานไม่เป็น แต่ถึงยังไงมันก็เป็นแค่การขี่จักรยาน คงไม่ใช้เวลานานมากนักหรอกที่ชายหนุ่มโตเต็มวัยจะหัดขี่ได้น่ะถูกไหม?
เขาหัดขี่จักรยานบนถนนอยู่ครึ่งค่อนวัน
ในตอนแรกโจวต้งสามารถพาไฉ่ปาเม่ยเข้าเมืองได้ในวันถัดไป แต่เขากลัวว่าจะไร้ประสบการณ์เกินไปจนทำให้ล้มกลางทางกันทั้งคู่ เขาก็เลยฝึกขี่จักรยานอีกวันหนึ่ง ก่อนจะพาไฉ่ปาเม่ยซ้อนท้ายเข้าเมือง
ทั้งคู่เข้าเมืองกันอย่างลับ ๆ โดยไม่มีใครเห็นพวกเขา ทันทีที่เข้าสู่เดือนแรกและการไถพรวนประจำฤดูใบไม้ผลิยังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการ ทางครอบครัวตระกูลไฉ่ก็มีข่าวดี
ไฉ่ปาเม่ยกำลังจะแต่งงานกับโจวต้ง
เรื่องนี้ทำให้หลายคนในหมู่บ้านต้องอึ้งไป
เพราะว่าทั้งสองครอบครัวต่างติดต่อกันอย่างลับ ๆ โดยไม่มีใครรู้เห็นเรื่องนี้เลย เหตุการณ์น่ายินดีที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้จึงทำให้ทุกคนเกิดความประหลาดใจกันถ้วนหน้า
เมื่อหายประหลาดใจกันแล้ว คนบางคนในหมู่บ้านที่หมายตาไฉ่ปาเม่ยก็ได้วิจารณ์โจวต้งว่าไม่เห็นมีดีอะไรเหมาะกับอีกฝ่ายเลย
เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ชัด ๆ ขณะที่ผู้คนไม่ได้รับรู้ในเรื่องนี้มาก่อน เขาก็ได้เกี่ยวดองกับไฉ่ปาเม่ยโดยที่ไม่มีใครรู้แล้ว
ตระกูลไฉ่มีภาพพจน์ที่ดีทีเดียว พวกเขาเป็นหนึ่งในครอบครัวของหมู่บ้านนี้ที่มีประวัติขาวสะอาดที่สุด ชื่อเสียงของพวกเขานับว่าเยี่ยมยอด
บวกกับบรรดาลูกชายทั้งหลายต่างเป็นคนมีความสามารถ พวกเขาจึงเป็นครอบครัวใหญ่ หลังจากแต่งงานกับไฉ่ปาเม่ยแล้ว พวกเขาก็สามารถคุยกันว่าจะเจอปัญหาในอนาคตไหม?
ใครจะคิดว่าโจวต้งจะชิงตัดหน้าก่อนที่พวกเขาจะได้คุยเรื่องนี้กับบรรดาลูกชายเสียอีก
คนอื่น ๆ รู้สึกว่าตระกูลไฉ่ช่างฉลาดนัก
พวกเขาพุ่งเป้าหมายชัดเจนกับความจริงที่ว่าโจวต้งไม่มีใครหนุนหลังและจะไม่รังแกไฉ่ปาเม่ย ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาถึงตกลงใจที่จะจัดการแต่งงานครั้งนี้!
อย่างไรก็ตาม การแต่งงานของโจวต้งกับไฉ่ปาเม่ยถูกจัดขึ้นก่อนจะมีการไถพรวนประจำฤดูใบไม้ผลิ
พวกเขาไม่ได้จัดงานกันใหญ่โตนัก แค่ตั้งโต๊ะน้ำชาสองโต๊ะและเชิญผู้อาวุโสทั้งหลายมาร่วมเท่านั้น
โจวชิงไป๋เองก็ร่วมงานนี้ด้วย ขณะที่หลินชิงเหอไม่ได้ไป แต่ต่อให้โจวต้งกับโจวซีจะมาชวนเธอ เธอก็คิดว่าโจวชิงไป๋ไปคนเดียวน่ะพอแล้ว
ทันทีที่จัดงานขึ้น ท่านแม่โจวก็ได้รับซองแดงกับไก่ตัวหนึ่งจากโจวต้ง
เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ควรให้กับแม่สื่อ นางก็เลยรับไว้อย่างเปิดเผย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...