สถานการณ์ของท่านพ่อโจวคลี่คลายแล้ว ทุกคนในบ้านตระกูลโจวต่างพากันโล่งอก
อาการป่วยของท่านพ่อโจวเกิดขึ้นแบบปุบปับและรุนแรง ทำให้ท่านแม่โจวรู้สึกหวาดผวา ไม่ใช่แค่นางคนเดียว พี่ชายใหญ่กับคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกร้อนใจมากด้วย
เมื่อคืนนี้ท่านพ่อโจวถึงกับเริ่มเพ้อไม่เป็นภาษาและทำท่าอยากจะเอ่ยคำสั่งเสียสุดท้าย
แต่โชคดีที่สะใภ้สี่มียารักษา หลังได้กินยาแล้วเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม
แล้วคนในตระกูลโจวจะไม่ถอนหายใจอย่างโล่งอกกับเรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ?
จากความสำเร็จของหลินชิงเหอในตอนนี้ มันก็ทำให้ตำแหน่งของเธอในตระกูลโจวมั่นคงไม่สั่นคลอนตราบใดที่เธอไม่ได้ทำอะไรล้ำเส้น
สะใภ้ใหญ่กับคนอื่น ๆ ไม่สามารถเทียบตัวเองกับเธอได้เลย
แน่นอนว่าพวกเขาไม่เทียบตัวเองกับเธอหรอก เพราะพวกเขาเองก็โล่งใจเหมือนกัน
ในช่วงพักฟื้นร่างกายของท่านพ่อโจว ก็ไม่ต้องพูดเลยว่าอาหารที่เขาได้กินมันเป็นอาหารดีขนาดไหน มันดีเลิศเลยล่ะ เหนือสิ่งอื่นใด บวกกับร่างกายอันแข็งแกร่งเป็นธรรมดาของชายชราแล้ว เขาก็สามารถลุกขึ้นมาเดินเหินได้ภายใน 2 วันหลังหายไข้ดีแล้ว
ในตอนนี้มันก็ใกล้ถึงวันสิ้นปีแล้ว
แม้ท่านพ่อโจวจะฟื้นตัวอย่างมากในช่วง 2 วันที่ผ่านมา แต่เขาก็มีน้ำหนักลดลงเช่นกัน เพราะเขาเองก็แก่มากแล้ว การอดทนได้ถึงขนาดนี้มันใช้พลังกายพลังใจของเขาไม่ใช่น้อย
หัวหน้าหมู่บ้านได้มาแสดงความห่วงใยด้วยตัวเอง เขาเอ่ยติดตลกว่า “พี่ชายเฒ่า คราวหน้าอย่าหักโหมมากเกินไปเหมือนครั้งนี้นะ ชิงไป๋กับพี่ ๆ ของเขาต่างมีกำลังความสามารถกันทุกคน พวกเขาไม่ปล่อยให้คุณกับสะใภ้ของผมไม่มีอะไรกินหรอก”
“ถ้าธัญพืชปีนี้ไม่ได้รับการเก็บเกี่ยวก็อย่าคิดจะฉลองวันปีใหม่เลย มันเหนื่อย” ท่านพ่อโจวตอบ
ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าเขามีอาการป่วยสืบเนื่องมาตั้งแต่การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ช่วยไม่ได้นี่นะ อากาศในปีนี้เลวร้ายขนาดนี้ มันจึงไม่อาจปล่อยไว้ล่าช้าได้จริง ๆ
หัวหน้าหมู่บ้านถึงกับยอมรับในจิตสำนึกของเขา
“แต่อาการเจ็บป่วยนี้มันส่งผลเรื้อรังอยู่ ผมกลัวว่าในอนาคตอาจไม่สามารถทำงานได้อีกต่อให้อยากจะทำก็ตาม” ท่านพ่อโจวพูดต่อ
เขารู้สึกว่าต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดี ๆ ไม่อาจหักโหมเกินกำลังของตัวเองได้ หากเขาทำแบบนั้นเขาก็คงจะม่องเท่งภายในเวลาไม่กี่ปี
หัวหน้าหมู่บ้านเองก็เห็นด้วย หลังทำงานหนักมาทั้งชีวิตแล้ว เขาควรจะได้ผ่อนคลายและเพลิดเพลินกับการตอบแทนจากลูกชายและลูกสะใภ้บ้างถูกไหม?
ในวันที่ยี่สิบเก้า โจวชิงไป๋ก็เข้าอำเภอและนำผลสาลี่กลับมาหนึ่งถุงตาข่าย
โดยไม่ต้องกล่าว ท่านพ่อโจวก็ได้ส่วนแบ่งด้วยเป็นจำนวนครึ่งถุงตาข่าย
ท่านพ่อโจวเก็บไว้กับตัวจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็แจกจ่ายให้กับหลาน ๆ ที่เหลือ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เด็ก ๆ ปิติยินดีเช่นกัน
ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงวันสิ้นปี
“คุณพ่อตั้งใจจะให้ทั้งครอบครัวมากินอาหารเย็นด้วยกันน่ะ” ท่านแม่โจวมาแจ้งเรื่องนี้กับหลินชิงเหอ
“ตกลงค่ะ งั้นแต่ละครอบครัวจะนำอาหารของตัวเองมาแบ่งกันนะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยเมื่อได้ยินดังนี้
ท่านแม่โจวยิ้มกริ่ม นางเดินไปแจ้งเรื่องนี้กับสะใภ้คนอื่น ๆ ตราบใดที่สะใภ้สี่เห็นด้วย สะใภ้อีกสามคนก็ไม่มีปัญหา
ทั้งซูเฉิงน้อยกับซูสวิ่นน้อยต่างถูกพ่อพากลับเข้าไปในอำเภอเพื่อฉลองปีใหม่ เนื่องจากฤดูหนาวปีนี้หนาวทารุณมาก จึงว่ากันว่าคนในเมืองจะไม่ต้องไปทำงานจนกว่าจะถึงวันที่สิบห้าของเดือนมกราคม ซึ่งนับว่าเป็นเวลาที่ยาวนานอยู่
ฝั่งหลินชิงเหอเตรียมอาหารไว้ 5 จาน มีหมูผัดมันฝรั่ง หมูตุ๋นกับวุ้นเส้น ซี่โครงหมูตุ๋นซีอิ๊ว หมูตุ๋นหนึ่งจาน และแกงจืดกระดูกหมูกับหัวไชเท้าหม้อหนึ่ง
อาหารแต่ละจานนับว่าเป็นอาหารชั้นยอด
อีกสามครอบครัวาก็ให้ความร่วมมือมากเช่นเดียวกัน พวกเขาเองก็เตรียมอาหารไว้หลายจาน
เนื่องจากคนในครอบครัวมีมากเกินไป พวกเขาจึงต้องแยกอาหารออกเป็นสองโต๊ะ
นับตั้งแต่แยกครอบครัวออกไปก็ไม่มีการรวมครอบครัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ แต่เนื่องจากท่านพ่อโจวป่วยหนักและอยากเห็นอะไรแบบนี้ ทั้งลูกชายและลูกสะใภ้ต่างก็รู้สึกมีความสุขที่จะทำให้เขาพอใจ
ดังนั้นในทันทีที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวมารวมตัวกัน พวกเขาก็เริ่มกินอาหารมื้อเย็นเป็นการฉลองวันสิ้นปี
ที่โต๊ะอาหารมีแต่การกล่าวถึงการเก็บเกี่ยวในหลายปีที่ผ่านมาและความเป็นไปของแต่ละครอบครัว
ตระกูลโจวกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ครอบครัวที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดก็คือครอบครัวของโจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอที่คนในหมู่บ้านไม่ได้มีความคาดหวังมากขนาดนี้มาก่อน
กล่าวได้ว่าม้ามืดได้เผยตัวออกมาแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...