หลังกินอาหารกลางวันที่บ้านของซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเม่ยแล้ว หลินชิงเหอก็พาเด็ก ๆ ไปดูหนัง
เมื่อเห็นว่าซูเฉิงกับซูสวิ่นน้อยเอ่ยลาอย่างมีความสุขโดยไม่มีท่าทางลังเลใด ๆ ซูต้าหลินจึงเอ่ยความเห็นขึ้นมา “พวกเขา….สนิทกับคุณป้….า….สี่ของพวก….เขาจริง ๆ นะ”
“แน่อยู่แล้วล่ะค่ะ พี่สะใภ้สี่ดูแลพวกเขาดีจะตาย” โจวเสี่ยวเม่ยตอบ
“พี่สะใภ้สี่….ใจดีจริง ๆ นะ…ครับ ผะ…ผมเห็นว่าหล่อน….ดูแลเด็ก ๆ ได้ไม่ต่างจากเจ้าใหญ่…ละ…และน้อง ๆ เลย” ซูต้าหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พี่สะใภ้สี่เป็นคนแบบนี้ล่ะค่ะ ต่อให้เธอไม่ได้ช่วยดูแลหรือเห็นด้วยที่จะดูแลพวกเขา เธอก็ไม่เลือกปฏิบัติหรอกค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยบอก
ซูต้าหลินยิ้มกริ่ม เขารับรู้อยู่ในใจแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะเต็มใจให้เจ้าใหญ่ผู้เป็นหลานของเขามาอยู่อาศัยที่บ้านของพวกเขาเหรอ?
เขาย่อมรู้สึกอยากตอบแทนบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ
การเป็นญาติกันเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ร้องขอหรือยกให้แบบพร่ำเพรื่อ เป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพากันอยู่แล้ว
หลินชิงเหอไม่สนใจเรื่องนี้ เธอพาเด็ก ๆ ไปเที่ยวเล่นอย่างมีความสุขหนึ่งวันเต็ม พวกเขาทั้งดูหนัง กินถังหูลู่ จากนั้นก็ซื้อแตงโมกลับไปที่บ้าน
พอท่านแม่โจวรู้ว่าวันนี้เธอพาเด็ก ๆ ไปเยี่ยมลูกสาวคนเล็กของนาง นางก็ถามขึ้นมา “เสี่ยวเม่ยเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อยู่ดีมีสุขมากค่ะ หล่อนเหมือนจะถูกน้องเขยตามใจแบบสาวน้อยคนหนึ่งเลย ครั้งนี้ฉันไปหา หล่อนก็บอกฉันแบบอาย ๆ ว่าคนนี้เป็นคนสุดท้ายแล้ว หลังจากนี้หล่อนจะไม่คลอดลูกอีกแล้วค่ะ” หลินชิงเหอบอก
ท่านแม่โจวเอ็ดด้วยรอยยิ้ม “นังเด็กตัวเหม็นคนนี้นี่ ไม่รู้ว่าหล่อนไปมีความคิดแบบนี้มาจากไหน ตอนยังสาวก็คลอดลูกให้เยอะ ๆ เข้าไว้สิ แก่ตัวไปในอนาคตก็ไม่มีโอกาสได้คลอดลูกแล้ว ยิ่งกว่านั้นไม่ใช่ว่าหล่อนรับมือไม่ไหวสักหน่อย”
ตอนนี้เงินเดือนของซูต้าหลินเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยแล้ว จาก 30 หยวนต่อเดือนเป็นเกือบ 40 หยวนต่อเดือน
เงินเดือนของโจวเสี่ยวเม่ยก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เป็นเกือบ 20 หยวนต่อเดือน
แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็เป็นพนักงานธรรมดา ไม่ได้มีตำแหน่งดีเหมือนกับซูต้าหลิน
ทว่าเมื่อรวมเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นของคนทั้งคู่แล้ว มันก็เป็น 60 หยวน
ในยุคนี้หากครอบครัวหนึ่งมีรายได้จำนวนเท่านี้ในทุกเดือน ก็จัดว่าเป็นคุณภาพชีวิตที่หรูหราเลยทีเดียว
ขนาดผู้คนในชนบทยังสามารถเลี้ยงดูลูกจำนวนมากมายได้ ไม่ต้องพูดถึงคนที่มีรายได้สูงขนาดนั้นเลย
“หลังคลอดลูกแล้วก็จะเท่ากับมีลูก 3 คน หากเสี่ยวเม่ยไม่อยากจะมีลูกอีก คุณแม่ก็อย่าตำหนิหล่อนเลยค่ะ”หลินชิงเหอบอก
“สามคนถือว่าไม่น้อย แต่ก็ไม่เยอะเหมือนกัน ต้าหลินได้สืบทอดกิจการแบบนี้แล้ว มีลูกเยอะขึ้นก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ” ท่านแม่โจวตอบ
“ตอนนี้พวกเขามีลูกชาย 2 คนแล้ว และถ้าคนนี้เป็นผู้หญิง ก็จะมีทั้งลูกชายลูกสาวครบพอดี หากเป็นผู้ชาย ก็เท่ากับพวกเขาจะมีลูกชาย 3 คน คุณแม่ปล่อยให้พวกเขาสองคนคุยกันเองเถอะค่ะ” หลินชิงเหอชี้แจง
“อืม” ท่านแม่โจวพยักหน้า นางไม่คิดที่จะเข้าไปแทรกแซง “ฉันทุบแล้วก็ผ่าไส้พุงปลาไหลนาพวกนั้นแล้วนะ”
“งั้นฉันเอาไปตุ๋นกับผักดองนะคะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
เธอลงมือทำอาหาร มีปลาไหลนาตุ๋นกับผักดอง ซุปมะเขือเทศกับไข่คน กะหล่ำปลีผัด และหมูสามชั้นผัดถั่วพุ่ม
เมื่อโจวชิงไป๋กับคนอื่น ๆ กลับมาถึง ทั้งครอบครัวก็เริ่มกินอาหารเย็น
วันต่อมาหลินชิงเหอมาเยี่ยมเม่ยเจี่ย หลังเม่ยเจี่ยพาเธอเข้ามาในบ้านแล้วหล่อนก็กระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงร้อนรน “น้องสาว บรรยากาศในเมืองช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“ตอนนี้ปกติดีค่ะ ความวุ่นวายในปีนี้เมื่อก่อนหน้านี้ถือว่ารุนแรงอยู่ แต่ตอนนี้มันสงบมากแล้วค่ะ” หลินชิงเหอตอบ เห็นเม่ยเจี่ยมีท่าทางแบบนี้ เธอก็ลดเสียงลง “เม่ยเจี่ย เกิดอะไรขึ้นในโรงเชือดหรือเปล่าคะ?”
“มีอยู่ล่ะ แต่ไม่รู้ว่าน้องสาวจะรับไหวหรือเปล่านะ” เม่ยเจี่ยกระซิบ
“เยอะขนาดไหนเหรอคะ?” หลินชิงเหอถามขณะมองดูหล่อน
“40 ชั่ง เป็นเนื้อชั้นยอดกับเนื้อชั้นรองทั้งนั้นเลย” เม่ยเจี่ยจ้องมองเธอแล้วเอ่ยตอบ
“มากขนาดนั้นเชียว?” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างประหลาดใจ “อย่าบอกนะคะว่าเป็นเนื้อจากหมูที่ตายเอง”
แม้มันจะเป็นเนื้อจากหมูที่ตายเอง แต่ผู้คนในยุคนี้ก็ไม่สนใจ ทุกคนล้วนอยากซื้อลูกหมูที่ตายแล้วกันทั้งนั้น
แต่หลินชิงเหอรับไม่ได้ เธอไม่อยากทำธุรกิจไร้ยางอายแบบนั้น ในฐานะคนที่มาจากอนาคต เรื่องนี้ถือว่าเป็นขีดต่ำสุดของเธอแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...