“แต่เงินเดือนของเธอนับว่าไม่น้อยเลยนะ ถ้าเธอลาออกจากงาน ทุกเดือนเธอก็จะมีรายได้น้อยกว่า 20 หยวน ต่อให้เงินเดือน 40 หยวนของน้องเขยจะไม่น้อย แต่ใครจะรู้ล่ะว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น” หลินชิงเหอให้ความเห็นของเธออย่างตรงไปตรงมา
ทุกวันนี้มีแต่คนอยากแย่งงานของคนอื่นทันทีที่มีตำแหน่งว่าง ถ้าหางานเองนับเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์อีก
ต่อให้เป็นปี 1975 แล้ว แต่ก็ยังเหลือเวลาอีก 2-3 ปีกว่าจะมีมาตรการผ่อนปรน นับว่ายังเป็นเวลายาวนานอยู่ไม่น้อย
อย่าดูถูกเงินเดือน 20 หยวนของโจวเสี่ยวเม่ยเชียว ต่อให้ซูต้าหลินไม่ได้ทำงานต่อแล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลอะไรเมื่อมีเงินเดือนส่วนนี้อยู่
ครอบครัวคนธรรมดาสามารถอยู่รอดได้ด้วยเงิน 20 หยวนนี้เชียวนะ
จากมุมมองของคนในอนาคต มันถือเป็นเรื่องดีต่อครอบครัวหนึ่ง ๆ หากมีรายได้เข้ามาสามทางหรือมากกว่านั้น
เป็นเช่นนี้แล้วพวกเขาจะไม่รู้สึกเดือดร้อน ตอนนี้ครอบครัวของโจวเสี่ยวเม่ยมีรายได้สองทาง ซึ่งนับว่าดีมาก
อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องพึ่งพารายได้ทางเดียว พวกเขาจะกังวลน้อยลงและมีความสุขมากขึ้น รวมถึงความขัดแย้งในครอบครัวก็จะลดลงด้วย
ดังนั้นหลินชิงเหอจึงไม่สนับสนุนการลาออกจากงาน
“ฉันเองก็ไม่อยากลาออกเหมือนกันค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยพยักหน้า แต่เมื่อมองลูกสาวตัวน้อยที่กำลังนอนหลับ หล่อนก็ถอนหายใจเบา ๆ “แต่ต้าหลินรักใคร่ลูกสาวคนนี้มากเหมือนกล่องดวงใจ เขารักโดยไม่มีขอบเขต เลยรู้สึกลังเลที่จะปล่อยหล่อนไว้ที่บ้านแม่เหมือนกับพี่ชายทั้งสองของหล่อนน่ะค่ะ”
“คุณป้าของเขาก็ไม่ใช่สาว ๆ ต่อไปแล้ว หล่อนพิจารณาเรื่องเกษียณหรือยังล่ะ?” หลินชิงเหอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม
ทั้งลุงและป้าของซูต้าหลินต่างทำงานกันทั้งคู่
“หล่อนคิดอยู่เหมือนกันค่ะ วางแผนว่าจะยกตำแหน่งให้กับลูกสาวคนเล็ก แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างจริงจังนัก” โจวเสี่ยวเม่ยตอบ
“บ้านของพวกเขาเองก็ไม่ได้อยู่ไกลจากที่นี่ ถ้าหล่อนเต็มใจเกษียณจริงก็ลองไปถามดูนะ แค่เปลี่ยนคนที่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูจากคุณแม่เป็นหล่อนแทน” หลินชิงเหอบอก
“แล้วคุณแม่จะค้านไหมคะ?” โจวเสี่ยวเม่ยถาม
“ท่านจะค้านอะไรล่ะ? เฉิงเฉิงกับสวิ่นสวิ่นตอนนี้ก็โตแล้ว พวกเขาเล่นกันเองได้โดยที่แม่ไม่ต้องมาคอยดู ในเมื่อท่านไม่ต้องเลี้ยงหลานสาวคนนี้ ท่านก็ไม่คัดค้านอะไรหรอกหากไม่ได้เงินค่าจ้างเลี้ยงดู” หลินชิงเหออธิบาย
โจวเสี่ยวเม่ยพยักหน้า แต่หล่อนยังต้องปรึกษาเรื่องนี้กับซูต้าหลินก่อน
หลินชิงเหอพาเจ้าใหญ่ออกไปซื้ออุปกรณ์การเรียนและให้ค่าขนมกับเขาหยวนหนึ่ง
ต้องบอกว่ามีแต่แม่อย่างหลินชิงเหอเท่านั้นที่เต็มใจให้ค่าขนมกับลูก 1 หยวน
คำพูดที่ว่า เลี้ยงลูกชายให้เป็นยาจกและเลี้ยงลูกสาวให้เป็นคุณนาย ไม่ได้หมายความว่าให้ลดทอนการปฏิบัติต่อลูกชาย แต่เป็นการดึงความขยันอดทนในตัวเขาออกมา
ถึงอย่างนั้นเธอก็ให้เงินค่าขนมกับเขาอยู่
“พอถึงสิ้นเดือนแล้วลูกต้องกลับไปช่วยงานเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงนี่ ลูกจะมีวันหยุดบ้างไหม?” หลินชิงเหอถาม
“ครับ ผมได้หยุด 7 วัน” เจ้าใหญ่พยักหน้า
หลินชิงเหอไม่มีปัญหาอะไร เธออำลาเจ้าใหญ่แล้วมาที่ตลาดมืดเพื่อขายเนื้อหมูส่วนที่เหลือทั้งหมดที่ได้สะสมไว้ หลังจากนั้นเธอก็กลับบ้าน
ส่วนเจ้าใหญ่ก็เก็บเงิน 1 หยวนนี้ไว้ เขาอยากเก็บมันไว้เพื่อซื้อลูกบาสเกตบอล ซึ่งเป็นของราคาแพงมาก
เขารู้ว่าที่บ้านมีแรงกดดันเยอะขนาดไหน มีคนหลายคนต้องเลี้ยงดู ต่อให้เขามาอยู่ในเมือง เขาก็ยังได้ดื่มนมสองขวดทุกวัน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนซื้อมาด้วยเงินเดือนของแม่เขา
หลินชิงเหอไม่รู้เลยว่าเจ้าใหญ่อยากซื้อลูกบาสเกตบอล เมื่อถึงบ้านแล้วเธอก็บอกท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวว่าเจ้าใหญ่ที่อยู่ในเมืองอยู่ดีกินดีอย่างไรบ้าง
เธอยังเปิดประเด็นเรื่องหลานสาวกับท่านแม่โจว ว่าบางทีในอนาคตหลานสาวตัวน้อยอาจอยู่ในความดูแลของคุณป้าซู ถึงตอนนั้นเงินค่าเลี้ยงดูทั้งหลายจะกลายเป็นของคุณป้าซูไป
“งั้นก็ให้ไปเถอะ เฉิงเฉิงกับน้องชายก็ตัวโตเท่านี้แล้ว แค่เตือนให้พวกเขานำเงินค่าใช้จ่ายมาก็พอ” ท่านแม่โจวไม่ได้ว่าอะไรกับเรื่องนี้
ก่อนหน้านี้ เหตุผลที่นางเรียกเงินจากลูกสาวก็เป็นเพราะต้องการเก็บไว้เป็นค่าสินสอดของหลานชาย
ตอนนี้หลานชายคนโตกำลังก้าวหน้าอย่างมาก หากลูกสาวคนเล็กจะไม่ให้เงินกับนางก็ไม่เป็นไร แต่ยังต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูหลานชายทั้งสองมาให้นางอยู่
ต่อให้พวกเขาเป็นญาติกันและเด็ก ๆ ยังเล็กนัก แต่ก็ต้องทำบัญชีให้ชัดเจน เป็นแบบนี้แล้วพวกเขาถึงยังนับญาติกันได้
ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ต้องกังวลไป ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเม่ยรู้ว่าต้องทำอย่างไร
หลินชิงเหอคุยกับท่านแม่โจวในเรื่องที่ว่าน้องสามีตัวอวบอ้วนขนาดไหนแล้ว ท่านแม่โจวก็เอ็ดอย่างอารมณ์ดี “นังเด็กคนนี้นี่จริง ๆ เลย ไม่รู้จักประหยัดเงินเสียบ้าง กินจนอ้วนถึงขนาดนั้นแล้วเงินเดือนที่มีอยู่จะไปพอกินได้ยังไง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...