บอกตามตรงว่าท่านแม่โจวรู้สึกขอบคุณเธอมากนับตั้งแต่เกิดเรื่องที่บัณฑิตทั้งหลายสอบเข้ามหาวิทยาลัยและหย่าขาดจากครอบครัว
โชคดีที่สะใภ้สี่ไม่ใช่บัณฑิตพวกนั้น และไม่ได้มีครอบครัวทางแม่อยู่ในเมือง
ในอดีตท่านแม่โจวคิดจะมองหาบัณฑิตสาวให้โจวชิงไป๋ เป็นบัณฑิตมากความรู้ที่มาอยู่ในชนบท แต่เมื่อถึงตอนนั้นนางกลับหาคนที่เหมาะสมไม่ได้
จากนั้นพวกเขาก็เจอกับหลินชิงเหอ
สถานการณ์ในหมู่บ้านตอนนี้ทำให้ท่านแม่โจวรู้สึกหวาดกลัว
หากแนะนำบัณฑิตสาวคนเมืองให้โจวชิงไป๋ไปในตอนนั้นแล้ว ตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ?
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนบางคนที่คอยกระซิบเป่าหูอยู่ตลอด
พวกเขาบอกว่าสะใภ้สี่มีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าแล้ว ใครจะรู้ล่ะว่าเธอจะปันใจให้คนอื่นหรือเปล่า ในตอนแรกท่านแม่โจวก็เป็นกังวล แต่เป็นเพราะลูกชายคนโตกับแม่ของเขาอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน มันจึงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้น
แต่ลึกลงไปแล้ว ท่านแม่โจวก็ยังคงกังวลอยู่
ตอนนี้สะใภ้สี่โดดเด่นอย่างมากแล้ว
ต่อให้เธอแยกจากลูกชายคนเล็กของนาง นางก็รู้ว่ามันมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างลูกชายคนเล็กของนางกับภรรยาอยู่
เป็นความเหลื่อมล้ำสถานะทางสังคมโดยแท้
และแน่นอนว่าหลินชิงเหอรับรู้ถึงความเมตตาของท่านแม่โจวผู้เป็นแม่สามี
เมื่อเห็นท่านแม่โจวทำซุปไข่ลวกและเติมน้ำตาลกับของอื่น ๆ ลงไป หลินชิงเหอก็รู้สึกอายเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รับไว้และเอ่ยขึ้น “คุณแม่ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ ฉันมาถึงอำเภอเมื่อวานนี้แล้วค้างคืนอยู่กับเสี่ยวเม่ยก่อนจะกลับมา แล้วเช้านี้ก็กินอาหารเช้าไปแล้ว” หลินชิงเหอบอก
“ตลอดทางที่กลับมาเธอต้องเหนื่อยมากแน่ ๆ ต้องบำรุงร่างกายสักหน่อยนะ ฉันจะเชือดไก่มาทำอาหารให้เธอเอง” ท่านแม่โจวตอบ
จากนั้นนางก็เดินไปที่สวนหลังบ้านเพื่อจับไก่ หลินชิงเหอไม่อาจห้ามนางได้เลย แต่เมื่อเห็นไก่ฝูงหนึ่งอยู่ในสวนหลังบ้าน เธอก็ถามขึ้นมา “ตอนนี้ไม่จำกัดจำนวนเลี้ยงแล้วเหรอคะ?”
“ใช่แล้วล่ะ ตราบใดที่เธอไม่เที่ยวไปพูดเรื่องนี้ก็ไม่มีใครสนใจว่าเธอจะเลี้ยงเยอะขนาดไหนหรอก” ท่านแม่โจวตอบ จากนั้นนางก็นึกถึงหลานชายคนโตได้ “จริงสิ เจ้าใหญ่อยู่ที่ไหนล่ะ?”
“เด็กคนนั้นเจอเพื่อนที่เมืองหลวงน่ะค่ะ ทั้งคู่เป็นเด็กปี 1 ที่อายุรุ่นเดียวกัน พวกเขาเลยเข้ากันได้ดี เขาบอกว่าปีนี้จะไม่กลับมา ฉันก็เลยให้เงินเขาไปและปล่อยให้เขาใช้ชีวิตเอง” หลินชิงเหอตอบ
อย่าประมาทเจ้าใหญ่ที่มีอายุ 14 ปีเชียว ด้วยความสูง ความสามารถ และสติปัญญาของเขาแล้ว คนหนุ่มสองหรือสามคนอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย
หลินชิงเหอไม่มีอะไรต้องกังวลในเรื่องนี้
“เด็กคนนั้นนี่ ไม่รู้จักกลับมาหาคุณปู่คุณย่าบ้างเหรอไง?” ท่านแม่โจวเอ่ย
“ฉันเอาของมาฝากคุณแม่กับคุณพ่อด้วยนะคะ เขาเป็นคนเลือกของพวกนี้มาก และกำชับฉันว่าอย่าให้คนอื่น ต้องให้พวกคุณสองคนเท่านั้นด้วย” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
มันคือของฝากแปดอย่างของเมืองหลวงและเป็ดปักกิ่ง
หลินชิงเหอนำไปเก็บไว้ในมิติ หากไม่ทำแบบนี้มันก็ลำบากที่จะถือมาด้วย
นี่เป็นของชิ้นสุดท้าย หากมีใครรับไปแล้ว พวกเขาก็จะได้ชิ้นนี้ไปชิ้นเดียว นี่เป็นเหตุที่ว่าทำไมหลินชิงเหอถึงเหลือไว้ชิ้นเดียว
ท่านแม่โจวยิ้มกว้างและสนทนากับหลินชิงเหอเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้
หลินชิงเหอทำเพียงรับฟัง ส่วนเรื่องระบบการรับผิดชอบงานที่จะดำเนินการในปีนี้เธอไม่ขอเอ่ยอะไร พวกเขาคงรู้ตอนที่ประกาศออกมาแล้ว
แต่เธอได้คุยเรื่องนี้กับโจวชิงไป๋แล้วว่าอย่าใส่ใจเยอะนัก เพราะมันจะเกิดขึ้นเพียง 2 หรือ 3 ปี หลังจาก 2 หรือ 3 ปีนี้เธอก็จะย้ายครอบครัวเข้าไปในเมืองหลวง
โจวชิงไป๋ที่อยู่ในทุ่งนาได้ข่าวว่าภรรยากลับมาแล้ว เขาก็รู้สึกร้อนใจจนแทบจะโยนงานทิ้งและกลับบ้าน
แต่เขาข่มใจไว้และทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกคนต่างมองด้วยความสงสัย ว่ากันว่าสามีภรรยาคู่นี้รักกันจริงจังยิ่งกว่าทองไม่ใช่เหรอ? ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกอะไรเลย?
ในอดีต ไม่ใช่ว่าในหมู่บ้านกล่าวกันว่าหลินชิงเหอช่างโชคดีที่มีสามีดีอย่างโจวชิงไป๋หรอกเหรอ?
นับตั้งแต่ที่หลินชิงเหอเป็นครูประจำตำบล ทุกคนก็เริ่มพูดกันว่าโจวชิงไป๋ช่างโชคดีที่ได้แต่งงานกับภรรยาแบบนี้
และตอนนี้ทุกคนก็ทำได้เพียงอิจฉาริษยา
โจวชิงไป๋ยังคงทำงานจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน ซึ่งไม่มีใครตามเขาทันเลยในตอนที่เลิกงานแล้ว
เขาไม่แม้แต่จะรอท่านพ่อโจวด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...