ตอนนี้ไม่มีเวลาว่างเหลืออีกแล้ว
วันเวลาในมหาวิทยาลัยช่างยุ่งวุ่นวายนัก และปีนี้เมืองบ้านเกิดของเธอก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง
อย่างแรกสุดก็คือบรรดาบัณฑิตหนุ่มสาวต่างพากันกลับเข้าเมือง ซึ่งหลายคนได้กลับไปแล้ว บางคนกลับโดยผ่านวิธีการของตัวเอง ขณะที่คนอื่น ๆ ยังไม่กลับและอยู่ที่นี่ชั่วคราว แต่เห็นชัดว่าพวกเขาคงไม่อยู่นานนัก
ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ พวกเขาจึงสัมผัสได้ว่าแค่ต้องรอเวลาก่อนจะกลับไปเท่านั้น
คนในหมู่บ้านต่างรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ส่งผลกระทบต่อกำลังผลิตโดยภาครวม
ความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านก็คือพวกเขาสามารถเลี้ยงไก่ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว
ปีนี้ท่านพ่อโจวหยุดทำงานในทุ่งนาแล้ว เขาต้อนเป็ดไปเลี้ยงที่แม่น้ำแทน โดยมีท่านแม่โจวเป็นคนส่งอาหารกลางวันให้เขา เพราะไม่จำเป็นต้องเลี้ยงพวกมันอยู่ที่บ้านตลอดทั้งวัน เขาจึงมีสถานที่ให้พักผ่อนหย่อนใจ
ในตอนเย็น เขาก็ต้อนฝูงเป็ดกลับบ้าน
พวกมันเป็นแค่เป็ดรุ่นที่ยังออกไข่ไม่ได้ แต่เมื่อพวกมันโตขึ้น เขาก็จะต้องคอยตรวจตราไม่ให้พวกมันออกไข่ข้างนอกบ้าน
เดิมทีพวกเขาวางแผนจะเลี้ยงเพียง 4 หรือ 5 ตัว แต่ท่านพ่อโจวรู้สึกว่าน้อยเกินไปไม่คุ้มแรง เขาจึงขอเลี้ยงตรง ๆ ไป 7 ถึง 8 ตัว
การเลี้ยงดูพวกมันใช้ต้นทุนของครอบครัวไปไม่มากนัก แค่ต้อนพวกมันออกจากบ้านและปล่อยให้หากินปลาเล็ก ๆ กับกุ้งในแม่น้ำ หากพวกมันอยากจะเตลิดหนีจากไปก็ปล่อยมันไป
อีกอย่าง โจวชิงไป๋ก็ไม่ได้คัดค้าน ดังนั้นจึงจบลงด้วยการเลี้ยงเป็ดจำนวนมาก
ที่สวนหลังบ้านก็ยังมีไก่อีกจำนวนมากเช่นกัน
พวกเขาเลี้ยงไก่เหมือนกับคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน จึงไม่มีใครตำหนิใคร
ส่วนคนที่มีเจตนาร้ายนำเรื่องนี้ไปรายงานก็ไม่อยู่ในความสนใจของใคร หมู่บ้านโจวเจี่ยไม่ใช่ที่เดียวที่ทำแบบนี้สักหน่อย
นับตั้งแต่แก๊งค์สี่คนล่มสลาย ตอนนี้ก็ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน
เมื่อโจวชิงไป๋กลับมาจากทุ่งนา เจ้ารองกับเจ้าสามก็เพิ่งทำอาหารเสร็จและเอ่ยขึ้น “พ่อครับ หมูสามชั้นหมักกับกุนเชียงที่แม่ทำไว้ถูกกินหมดเกลี้ยงแล้ว นับจากวันนี้เราต้องรัดเข็มขัดประทังชีพแล้วนะครับ”
ก่อนที่แม่ของพวกเขาจะจากบ้านไป เธอก็ทำหมูสามชั้นหมักไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งมันเก็บไว้ได้นาน พวกเขาสามารถนำมากินได้อย่างมัธยัสถ์ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงถูกใช้ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้
“พรุ่งนี้จะมีเนื้อมาอีกนะ” โจวชิงไป๋บอก
เขาสั่งเนื้อไว้กับเหมยเจี่ยแล้ว และจะนำมาที่บ้านในช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันนี้
วันนี้พวกเขาจึงได้ทำอาหารอย่างเต็มที่
มีไข่คน ผัดกะหล่ำปลี และหมั่นโถว ซึ่งอาหารก็มีเท่านี้ แต่นับว่ายังเป็นมื้อที่ดีไม่น้อย
แน่นอนว่ายังห่างไกลนักเมื่อเทียบกับตอนที่แม่ของพวกเขาอยู่บ้าน
ท่านแม่โจวแบ่งอาหารส่วนของท่านพ่อโจวแยกไว้ก่อน จากนั้นนางก็กินส่วนที่เหลือพร้อมกับลูกชายและหลานชายทั้งสองก่อน คงไม่ช้ามากหรอกหลังกินเสร็จแล้วค่อยส่งอาหารให้สามี
“พ่อ เมื่อไหร่พ่อจะไปหาแม่เหรอครับ?” เจ้าสามถามขณะอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“ช่วงนี้แกว่างเหรอ?” ท่านแม่โจวหันมามองลูกชาย
“ไม่ว่างครับ” โจวชิงไป๋ส่ายหน้า
เขาอยากไปหาภรรยาเหลือเกิน แต่ช่วงไถพรวนประจำฤดูใบไม้ผลิก็ยุ่งนัก และมันก็ใช้เวลาไปกลับนานหลายวัน ดังนั้นเขาจึงไปไม่ได้แน่นอน
แต่ถ้าฝนตกขึ้นมา เขาก็สามารถเดินทางไปได้
บางครั้งฝนจะตกเป็นเวลา 7 หรือ 8 วัน ซึ่งเหมาะเจาะที่จะเดินทางไปและกลับ
ตอนนี้โจวชิงไป๋รอคอยให้ฝนตกแล้ว จากนั้นความปรารถนาของเขาก็ถูกเติมเต็ม เมื่อถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม อากาศก็เริ่มขมุกขมัว
ทุกคนในหมู่บ้านต่างสัมผัสได้ว่าจะมีฝนตกหนักหลังจากนั้นแน่
ในตอนนี้ต้นกล้าทั้งหลายในทุ่งนากำลังเติบโตแข็งแรง พวกมันสามารถต้านทานฝนหนักขนาดนั้นได้แล้ว โจวชิงไป๋จึงมองท้องฟ้าและมาหาผู้นำหมู่บ้าน
เขาบอกความประสงค์ที่จะขอลาหยุดงานไป
ผู้นำหมู่บ้านเข้าใจเป็นอย่างดี ภรรยาของเขาอยู่ในเมืองหลวง ทำไมเขาถึงไปเยี่ยมในตอนนี้ไม่ได้ล่ะ?
โดยเฉพาะภรรยาของโจวชิงไป๋ที่อาจเป็นที่หมายปองของใครก็ตามด้วยความสวยและมีการศึกษาของเธอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...