หลินชิงเหอสลัดความคิดของคนตระกูลจางออกจากใจในทันทีที่เธอหันหลังจากไป
ลูกชายทั้งสามคนที่เธอเลี้ยงดูมาไม่ได้โง่ หวังจะจับลูกชายของเธอน่ะเหรอ เธอไม่เปิดประตูให้หรอก แม้แต่หน้าต่างก็ไม่ให้เข้า
ทำตัวอ่อนแอบอบบางน่าสงสารแล้วมีประโยชน์อะไร? ไม่มีประโยชน์หรอก
หลินชิงเหอเตรียมใจเผื่อในตอนที่ลูกชายทั้งสามเลือกเดินเส้นทางของตัวเองแล้ว ส่วนคู่ครองของลูกชายนั้นเธอจะไม่ยุ่งกับการตัดสินใจของพวกเขา
หากเธอไม่พอใจเธอก็จะพูด ถ้าพวกเขายังยืนกรานที่จะแต่งงานอยู่เธอก็จะไม่หยุดยั้งพวกเขา ในอนาคตทุกคนควรมีชีวิตอยู่อย่างอิสระ เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก
แต่ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้ พวกเขายังเด็กกันอยู่
หลินชิงเหอสวนทางกับคุณป้าหม่าพอดี ซึ่งคุณป้าหม่าเลิกงานแล้ว และกำลังจะกลับบ้านของนาง
“เสี่ยวข่ายให้ฉันมาบอกเธอตอนที่กลับถึงบ้านแล้วว่าอย่าอ่านหนังสือจนลืมเวลาอาหารน่ะจ้ะ” คุณป้าหม่ายิ้ม
“ท้องฉันร้องแล้วน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรต่อมากนัก คุณป้าหม่ากลับไปยังบ้านของนางขณะที่หลินชิงเหอเดินไปร้านเกี๊ยว
ทั้งครอบครัวกินอาหารเย็นด้วยกัน
“ทางนี้ยังไม่มีพัดลมสินะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้น
ในวันอากาศร้อนเช่นนี้ทำให้เหงื่อไหลไคลย้อยจากการกินอาหารได้ เธอไม่ได้คิดว่าต้องมีพัดลมไฟฟ้ามาไว้ที่นี่เลย
“ครั้งหน้าเราก็ซื้อมาแล้วกันครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า
อากาศร้อนแบบนี้ช่างร้อนดีจริง ๆ จนเขาต้องใส่เสื้อกล้ามตอนทำเกี๊ยว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกร้อน ต้องมีพัดลมไฟฟ้ามาช่วยเป่าคลายความร้อนแล้ว
ส่วนลูกค้าที่มากินเกี๊ยวนั้นมากินแค่ชั่วขณะแล้วก็ไป ไม่จำเป็นต้องมีบริการเสริมอะไรหรอก มีพัดลมไฟฟ้าเป่าให้เหรอ? ไม่จำเป็นหรอก
“หลังกินเสร็จแล้วลูกสองคนทำความสะอาดนะ” หลินชิงเหอสั่งลูกชายทั้งสาม
วันนี้เฒ่าหวังไม่ได้มากินด้วย เพราะเขากินข้าวที่มหาวิทยาลัยแล้ว
หลังกินเสร็จแล้วเธอก็พาโจวชิงไป๋ออกจากร้านและขี่จักรยานไปที่จัตุรัสกลางเมืองเพื่อเดินเล่นกลางสายลมยามเย็น
“คุณคิดว่าเราควรพาคุณพ่อกับคุณแม่มาเมื่อไหร่ดีคะ?” หลินชิงเหอถาม
“ปีหน้าเราค่อยว่ากันเถอะครับ” โจวชิงไป๋บอก
พวกเขาเพิ่งเปิดร้านเกี๊ยวกันในปีนี้ แม้ธุรกิจจะไม่ถือว่าแย่ แต่ก็ยังไม่ลงตัวอย่างสมบูรณ์นัก
หลินชิงเหอพยักหน้า จากนั้นเธอก็เห็นคนคุ้นหน้าอยู่อีกฝั่งของจัตุรัส นั่นเฉินเสวี่ยไม่ใช่เหรอ? หล่อนกำลังเดินอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมาเดทกัน
เฉินเสวี่ยเองก็เห็นหลินชิงเหอด้วย หลังเหลือบมองวูบหนึ่งหล่อนก็เดินหนีไปพร้อมกับผู้ชายคนนั้นราวกับว่าไม่เห็นเธอ
“คุณรู้จักหล่อนเหรอ?” โจวชิงไป๋ถาม
“อดีตเพื่อนร่วมหอพักน่ะค่ะ แต่หล่อนย้ายออกไปภายหลัง” หลินชิงเหอตอบ
โจวชิงไป๋ไม่ได้ถามอะไรอีก เพราะเขาสัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอไม่น่าจะดีนัก
แต่หลินชิงเหอก็พูดต่อ “ฉันไม่ได้รังเกียจอะไรหล่อนหรอกนะคะ ทุกคนมีสิทธิที่จะเลือกให้พวกเขาอยู่ตำแหน่งที่ตัวเองชอบมากกว่า แต่ไม่สามารถทำร้ายคนอื่นได้”
สิ่งที่เฉินเสวี่ยทำก็เพื่อทำให้ชีวิตหล่อนดีขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เข้าใจได้
แต่การกระทำของเฉินเสวี่ยไม่ต่างจากเจ้าของร่างเดิมเลย ซึ่งเรื่องนี้หลินชิงเหอรับไม่ได้จริง ๆ
การทอดทิ้งสามีและลูก ๆ เป็นการกระทำของคนที่ไม่ต่างจากคนไร้คุณธรรม ต่อให้คน ๆ นั้นจะมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองในแง่มุมอื่น แต่พวกเขาก็ไม่เป็นที่ต้อนรับในหัวใจของหลินชิงเหอหรอก
หลินชิงเหอคาดคะเนว่าเฉินเสวี่ยจะต้องเสียใจในภายหลัง
โจวชิงไป๋ส่งเสียงเป็นการรับรู้ เขาไม่เอ่ยอะไรมากนักเกี่ยวกับเรื่องของเฉินเสวี่ยและเปลี่ยนประเด็นไปพูดถึงเรื่องที่โจวข่ายจะเรียนจบในปีหน้า
“คุณลุงหวังบอกว่าเมื่อเขาเรียนจบ เขาควรจะไปเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเป็นเวลา 2 ปีก่อนจะปล่อยให้เขาเข้าประจำการในกองทัพน่ะ” โจวชิงไป๋บอก
“ฉันไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลยค่ะ คุณตัดสินใจว่าอะไรที่ดีที่สุดและปล่อยให้เขาเลือกว่าจะไปทางไหนเถอะคะ” หลินชิงเหอบอก
“ที่คุณลุงหวังเสนอแนะมาก็ดีนะ ให้เขาไปเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารอีก 2 ปี หลังจากออกมาแล้วเขาก็มีอายุ 19 ปีพอดี” โจวชิงไป๋บอก
เขามาจากกองทัพ จึงรู้ว่าความต้องการวุฒิการศึกษาของกองทัพนั้นไม่ได้ต่ำต้อยเลย โจวชิงไป๋รู้ว่าวุฒิการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นหากเขาต้องการก้าวหน้าได้สูงและไกลในอนาคต
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...