หลินชิงเหอรู้ดีถึงเหตุการณ์นี้ในวันแรกของวันขึ้นปีใหม่ที่บ้านตระกูลโจว
ตอนนี้เธอกับโจวชิงไป๋ยังไม่ตื่นนอน น้องชายสามตระกูลหลินเป็นคนเอาใจใส่ผู้อื่น เขามักจะมาถึงบ้านของเธอราวสิบโมงเช้า ซึ่งถือว่าไม่เช้าเกินไป
ในช่วงฤดูหนาว หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋มักจะนอนตื่นสาย
ทั้งคู่ยังคงนัวเนียอยู่บนเตียง หัวเราะหยอกล้อกัน ไม่ประพฤติตนอย่างเหมาะสมเลยสักนิด
โจวชิงไป๋มีดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ และสวมสอดแขนทั้งคู่กอดรอบกายของภรรยา
“ตอนนี้เจ็ดโมงเช้าแล้ว ได้เวลาตื่นแล้วค่ะ” แต่หลินชิงเหอยังมีสติรู้ตัวอยู่บ้าง นี่มันปีใหม่แล้วนะ พวกเขาจะมัวนอนตื่นสายได้อย่างไร?
เวลาอื่นพวกเขาอาจนอนตื่นสายได้ แต่ตอนนี้ลืมเสียเถอะ
อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็ยังคงอิดออดไม่ลุกจากเตียงจนกระทั่งถึงเวลาเจ็ดโมงครึ่ง
ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวนอนหลับในอีกห้องหนึ่ง ตอนนี้ทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่ด้านนอกห้อง
“ตื่นแล้วเหรอ? ไปแปรงฟันแล้วมาเตรียมอาหารเช้าได้แล้วนะ” ท่านแม่โจวพูด
หลังผ่านมาหลายปี นางก็คุ้นชินกับเรื่องนี้ไปแล้วจึงไม่พูดอะไรออกมา
ความจริงก็คือท่านแม่โจวรู้สึกปวดใจนักกับลูกชายคนเล็กและภรรยาของเขา
พวกเขาไปที่เมืองหลวงเพื่อทำงานอย่างสุดกำลังความสามารถ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นางได้ยินว่าสะใภ้สี่ต้องเตรียมการสอนจนถึงมืดค่ำทุกวัน ขณะที่ลูกชายคนเล็กต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปซื้อผักและเปิดร้าน
แม่ชราอย่างนางจะไม่รู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไรล่ะ?
เป็นโอกาสหายากยิ่งที่พวกเขาจะได้นอนต่อ ดังนั้นปล่อยให้พวกเขาได้นอนต่อเถอะ อย่างไรเสียตอนนี้ก็ยังเช้าเกินไปและยังไม่มีแขกมาหา
มีแค่เพื่อนบ้านเท่านั้น ซึ่งพวกเขาก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
โจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอไปแปรงฟันก่อนมาเตรียมอาหารเช้าด้วยกันหลังจากล้างชามแล้ว
เป็นเวลาสิบโมงเช้าพอดีในตอนที่น้องชายสามตระกูลหลินกับครอบครัวมาเยี่ยม
หลังแจกจ่ายลูกกวาดกับของขบเคี้ยวให้หลานชายหลานสาวแล้ว บรรดาผู้ใหญ่ก็ปล่อยให้เด็ก ๆ ออกไปวิ่งเล่น
ส่วนหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็สนทนากับน้องชายสามตระกูลหลินและภรรยา
หลังเอ่ยทักทายเสร็จ สะใภ้สามตระกูลหลินจึงถามขึ้นว่า “พี่สาวสาม พี่คิดว่าครอบครัวเราควรลองเสี่ยงเปิดร้านสะดวกซื้อดีไหมคะ?”
“ทำได้นะ แต่ต้องทนกับเรื่องยุ่งยากใจหน่อย ดังนั้นพวกเธอต้องเตรียมใจไว้ให้ดี แล้วก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอเพื่อนบ้านประเภทนำสินค้าไปก่อนแล้วจ่ายเงินทีหลัง ซึ่งพวกเธอต้องรู้ว่าจะขายให้ได้หรือเปล่า” หลินชิงเหอบอก
ในยุคนี้การทำร้านสะดวกซื้อนับว่ามีกำไรมาก ธุรกิจคงจะดำเนินไปได้ไม่เลว
สะใภ้สามตระกูลหลินพยักหน้า หล่อนไม่คิดเลยในเรื่องที่ว่ารับสินค้าก่อนจ่ายทีหลัง หลังได้ยินดังนี้แล้วหล่อนจึงเก็บไปพิจารณา
“นายทำธุรกิจมาได้ครบปีตั้งแต่ปีที่แล้ว นายน่าจะจับจุดอะไรได้แล้วนี่?” หลินชิงเหอหันไปถามน้องชาย
น้องชายสามตระกูลหลินยิ้ม “การทำธุรกิจนับว่าให้ผลตอบแทนสูงมากครับ”
อย่าดูถูกว่าผลตอบแทนที่ได้นี้เล็กน้อย หากคน ๆ นั้นเก็บหอมรอมริบไปทีละน้อยและดำเนินกิจการต่อไป มันก็ไม่ด้อยไปกว่าเงินเดือนของคนทำงานเลย อย่างเช่นรายได้ในช่วงหน้าหนาวจะอยู่ที่หลายร้อยหยวนต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าคนทำงานหลายเท่า มากยิ่งกว่ามากเสียอีก
“ทำธุรกิจก็ต้องมีผลตอบแทนอยู่แล้ว แต่ธุรกิจแบบนี้อีกหน่อยจะหายไป เหตุผลที่นายสามารถทำมันได้ในตอนนี้ก็เพราะว่ามีคนอีกมากยังไม่รู้ว่าทำแล้วได้ผลตอบแทนดี เมื่อพวกเขารู้ นายก็จะไม่ใช่คนเดียวที่ทำ อีกอย่างผู้คนก็กำลังมองนายตระเวนรับของอยู่ เชื่อหรือเปล่าล่ะว่าเดี๋ยวปีหน้าพวกเขาก็จะลอกเลียนแบบนาย?” หลินชิงเหอบอก
เรื่องนี้ทำให้น้องชายสามตระกูลหลินกับสะใภ้สามอึ้งกันทั้งคู่
น้องชายสามตระกูลหลินกลับสู่ท่าทางปกติอย่างสงบและเอ่ยขึ้น “ในเมื่อผมทำได้ คนอื่นก็ทำได้”
สะใภ้สามตระกูลหลินมีสีหน้ากังวล “แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ที่บ้านพัฒนาดีขึ้นแล้ว หล่อนก็ไม่อยากให้บ้านของหล่อนต้องกลับไปเป็นเหมือนที่เคย ในคราวนั้นแม้แต่ไข่ฟองเดียวพวกเขายังไม่กล้ากิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...