ถ้าเป็นคนที่ทำการค้าซื้อมาขายไปแบบเต็มกำลังแล้ว เงินจำนวนนี้ถือว่าไม่มากเลย แต่สำหรับหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋แล้วกำไรจากการซื้อมาขายไปเช่นนี้เป็นเพียงอาชีพเสริมเท่านั้น
เดินทางมาที่นี่และหาเงินได้สักก้อนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้กำไรมามากมายนักแต่ก็ไม่นับว่าได้น้อยเช่นกัน คิดแค่ว่านี่เป็นความร่ำรวยที่ได้มาโดยไม่ได้คาดหวังมาก่อนก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจถึงเรื่องอื่นอีก
แค่ตอนนี้เงินเก็บในมิติของหลินชิงเหอก็มีเกือบจะถึง 70,000 หยวนแล้ว
ในยุคสมัยของครัวเรือน 10,000 หยวน นี่นับเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งครอบครัวหนึ่งเลยทีเดียว
“เมื่อเรากลับไปแล้วคุณจะต้องไปสืบถามให้ดีนะคะ” หลินชิงเหอสั่งการ ก็เรื่องเรือนสี่ประสานในฝันของเธอในปักกิ่งไง!
จนถึงตอนนี้ พวกเขาได้เป็นเจ้าของร้านค้า 2 ร้าน บ้านหนึ่งหลังและอะพาร์ตเมนต์อีกหนึ่งห้อง …แต่ด้วยอพาร์ตเมนต์นี้ได้รับมาจากทางมหาวิทยาลัย พวกเขาจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของมัน
พวกเขาได้สิทธิ์สำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ไม่มีสิทธิ์ในการซื้อขาย
ความจริงแล้วพวกเขาจะไปซื้อร้านค้าและบ้านหลังอื่นเพิ่มต่อไปอีกก็ได้ แต่หลินชิงเหอกลับใฝ่ฝันที่จะได้เรือนสี่ประสาน
พวกเขามีร้านค้า 2 แห่งและบ้านที่มีสวนอีก 1 หลัง นับได้ว่าตอนนี้มีความมั่นคงในชีวิตมากพอ ซึ่งมันก็เกือบจะเพียงพอแล้ว
ดังนั้นตอนนี้การซื้อเรือนสี่ประสานของเธอถือว่าเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้น ๆ
อย่านึกว่าราคาของเรือนสี่ประสานในตอนนี้จะไม่แพงล่ะ มันยังคงแพงอยู่
หลินชิงเหอสอบถามไปทางสำนักงานจัดการที่อยู่อาศัยแล้ว เธอสามารถซื้อเรือนสี่ประสานแบบบ้านหนึ่งวงได้ แต่ราคาของมันก็ยังสูงกว่า 10,000 หยวนอยู่ดี และยังไม่รู้ราคาขายที่แน่นอนเพราะราคาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งและช่วงเวลาที่มันถูกสร้างขึ้นมา
และสำหรับเรือนสี่ประสานแบบสองวงนั้น หลังจากที่เจ้าหน้าที่ที่สำนักงานจัดการที่อยู่อาศัยได้รับลูกอมจากเธอไปหนึ่งถุงแล้ว ถึงได้บอกกับเธอว่าราคาของมันอย่างต่ำอยู่ที่ราว ๆ 50,000 หยวน
หลินชิงเหอเองก็ไม่ได้โลภอยากได้สิ่งที่เกินตัว เธอไม่กล้าคิดไปถึงแบบสามวง สี่วงหรือกระทั่งห้าวงอย่างที่ท่านแม่เจี่ยในเรื่องความฝันในหอแดงอาศัยอยู่หรอก
แต่เธอยังพอจะตั้งเป้าไว้ที่แบบสองวงได้
ดังนั้นถึงแม้หลินชิงเหอจะมีเงินเก็บมากกว่า 70,000 หยวนแล้วก็ตาม เธอก็ยังไม่กล้าใช้เงินที่มีนี้อยู่ดี ถึงอย่างไรเรือนสี่ประสานก็ไม่ได้มีราคาที่ถูกเลย
อีกไม่กี่วันต่อมาพวกเขาก็มาถึงเทศบาลมณฑล หลังจากที่พักค้างคืนที่เทศบาลมณฑลอยู่หนึ่งคืน ทั้งคู่ก็ขึ้นรถเข้าไปในเมือง
พวกเขาจะแวะไปที่บ้านของโจวเสี่ยวเหมยและซูต้าหลินกันก่อน
ตอนนี้เป็นเดือนสิงหาคม ซึ่งซูต้าหลินได้ลาออกจากงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ความจริงเรื่องการลาออกจากงานเพื่อไปตั้งตัวที่เมืองหลวงของเขานั้น คุณลุงและคุณป้าของเขาต่างก็ไม่เห็นด้วยเลย
แม้จะบอกพวกท่านไปแล้วว่าพวกเขาจะไปเปิดร้านซาลาเปาในเมืองหลวง ซึ่งไม่ว่าอย่างไรธุรกิจจะไม่แย่อย่างแน่นอน กระนั้นพวกท่านก็ยังไม่วางใจอยู่ดี เนื่องจากพวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาก่อน
ถ้าเขาไม่ต้องการทำงานที่ได้เงินเดือนสูงอย่างนี้อีกต่อไป แล้วเขาจะไปทำอะไรต่อได้อีก?
ผู้คนต่างพูดกันไปว่าโรงงานกำลังจะล้มละลาย แต่โรงงานที่ใหญ่โตขนาดนี้จะล้มละลายไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?
แต่ถึงอย่างไรซูต้าหลินก็ได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว
ซูต้าหลินเป็นคนแบบนี้ ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจไม่ทำแบบนี้หรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจไปแล้วว่าจะทำ เขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจ
พวกเขาวางแผนกันไว้แล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวงในเดือนนี้ ซึ่งตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว ข้าวของต่าง ๆ ได้ถูกบรรจุหีบห่อจัดเตรียมไว้เรียบร้อย
โจวเฉวี่ยนและโจวหยางได้ช่วยกันขนผ้านวมและของใช้จำพวกนี้ไปให้ตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว มีสัมภาระที่จะต้องเอาไปด้วยเยอะมากทีเดียว
ตอนนี้พวกเขาแค่กำลังรอเวลาเท่านั้น
เมื่อหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋เดินทางมาถึงที่อำเภอก็ไม่ได้รีบไปหาซูต้าหลินและโจวเสี่ยวเหมยในทันที
พวกเขาเอาจักรยานออกมาจากมิติแล้วขี่ไปที่ร้านของน้องชายสามตระกูลหลิน
ร้านค้าของน้องชายสามตระกูลหลินได้เปิดอย่างเป็นทางการไปแล้วในปีนี้
ของที่เอามาขายล้วนแต่เป็นของที่ธรรมดามาก ๆ ในตอนที่พวกเขาไปถึงที่ร้านก็สังเกตเห็นว่าสินค้าภายในร้านได้ถูกขายไปจนหมดแล้ว มีแต่ขนไก่เท่านั้นที่ยังเหลืออยู่
สะใภ้สามตระกูลหลินและลูก ๆ เป็นคนเฝ้าร้านอยู่
สะใภ้สามตระกูลหลินชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อได้เห็นหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋มาถึง จากนั้นหล่อนก็รีบตะโกนเข้าไปทางด้านใน “พ่อต้ายา พี่สาวสามกับพี่เขยกลับมาหาแน่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...