ถ้าพูดอย่างจริงจังแล้วต้องบอกว่าในยุคนี้มีคนไม่มากนักหรอกที่จะเต็มใจเลี้ยงดูลูกสาวในแบบที่สะใภ้สามทำอยู่
อย่างสะใภ้ใหญ่ก็หาได้ยากเช่นกัน นี่เป็นเพราะหล่อนได้รับอิทธิพลมาจากหลินชิงเหอในอดีตถึงได้เต็มใจส่งลูกสาวให้เข้าโรงเรียนจนถึงชั้นประถมปีที่ 3 จนลูกสาวสามารถอ่านออกเขียนได้อยู่หลายคำ
หู่จือ ลูกชายของพี่สาวรองก็ได้เรียนจนถึงชั้นนี้เช่นเดียวกัน
ในขณะที่สวี่เชิ่งเหม่ยของพี่สาวใหญ่นั้นไม่ได้เรียนแม้แต่ชั้นประถมหนึ่ง นี่เป็นเรื่องปกติของยุคนี้
สะใภ้สามยิ้มกริ่มตอบว่า “พี่ไม่ได้หวังให้ลูกต้องมากตัญญูอะไรพี่ไปจนตลอดชีวิตหรอก แค่ถ้าทางบ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแล้วหล่อนสามารถพอจะช่วยเหลืออะไรได้บ้างเท่านี้ก็พอแล้วละจ้ะ”
แต่ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร การที่อู่นีได้เข้าโรงเรียนหรือแม้กระทั่งได้เข้ามหาวิทยาลัยก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับหล่อน
หลังจากนั่งคุยกันมาพักใหญ่แล้วหลินชิงเหอก็ควรจะไปร่วมกินข้าวกับพวกเขาด้วย แต่เพราะเธอกินมาแล้วจากบ้านโจวเสี่ยวเหมย ฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นอันยกเลิกไป
สะใภ้ใหญ่และสะใภ้สามเอาถุงลูกอมและนมผงกลับไปด้วยอย่างขัดเขิน
แต่ละครอบครัวได้ลูกอมและนมผงกันคนละถุง ครอบครัวบ้านรองก็ได้เช่นกัน
สะใภ้สามไม่พูดไม่จากับสะใภ้รองอีกต่อไป หล่อนจึงไม่ใส่ใจที่จะเอาของไปให้ สะใภ้ใหญ่จึงต้องเป็นคนเอาของไปให้น้องชายรอง
“แม่เจ้าใหญ่ฝากเอามาให้จ้ะ แล้วบอกด้วยว่าสำหรับบำรุงร่างกายทุกคน ให้ชงดื่มเต็มที่ไม่ต้องเก็บไว้นะจ๊ะ แต่ละครอบครัวได้ลูกอมกับนมผงกันคนละถุง” สะใภ้ใหญ่อธิบาย
“ผมรับไว้ไม่ได้จริง ๆ ครับ” น้องชายรองพูดขึ้นอย่างกระดากอาย
ครั้งก่อนลูกสาวคนรองของเขาทำตัวเหลวไหล สร้างปัญหาจนเจ้าใหญ่ต้องเป็นคนพาหล่อนกลับมาด้วยตัวเอง
“ไม่มีอะไรหรอก เราก็ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ชิงเหอไม่เก็บเอามาใส่ใจหรอกจ้ะ” สะใภ้ใหญ่บอกด้วยรอยยิ้มพร้อมกับส่งถุงลูกอมกับนมผงให้น้องชายรอง
น้องชายรองจึงรับของเอาไว้
พอเวลาประมาณ 2 ทุ่ม โจวชิงไป๋ก็มาสังสรรค์ร่วมกับพี่ชายทั้งสามคน พวกพี่น้องพากันไปอาบน้ำและว่ายน้ำกันที่แม่น้ำ
“ต้าหลินจะไปเปิดร้านขายซาลาเปาอยู่ที่โน่น มันจะคุ้มกันเหรอ? เงินเดือนของเขามากถึง 60 หยวนเลยนะ” พี่ชายใหญ่ยังกังวลอยู่เล็กน้อย
“โรงงานที่เขาทำอยู่กำลังจะปิดแล้วละครับ ไม่อย่างงั้นเขาคงไม่ลาออกไปอย่างนี้หรอก” พี่ชายสามร่วมสนทนาในเรื่องนี้ด้วย
พวกเขาต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นท่านแม่โจวจึงไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้กับพวกเขา
“ถ้าเขาไปที่นั่นแล้วทำธุรกิจได้ดี ชีวิตเขาก็คงจะไม่แย่หรอกครับ” พี่ชายรองเอ่ย
ไม่ว่าพวกผู้หญิงจะมีความคิดอย่างไรกัน แต่พี่น้องทั้งสี่คนก็ยังเข้ากันได้ดี
“เมื่อทุกอย่างก้าวหน้าขึ้น เขาจะไปได้สวยเลยล่ะครับ” โจวชิงไป๋บอก จากนั้นเขาก็มองอย่างจริงจังไปที่พี่ชายทั้งสามของตนเอง “พวกพี่ไม่คิดจะไปหาความก้าวหน้ากันในเมืองบ้างหรือ?”
“ชีวิตนี้ฉันก็รู้แต่เรื่องทำไร่ทำนา คงจะไปทำอะไรที่ในเมืองไม่ไหวหรอก” พี่ชายใหญ่ส่ายศีรษะ
“ต้าหลินกำลังจะย้ายไปอยู่เมืองหลวง บ้านของเขาก็จะว่าง ถ้าพวกพี่ไปเปิดร้านในเมืองก็จะมีที่อยู่พอดีเลยนะครับ” โจวชิงไป๋พูด
เนื่องจากซูต้าหลินจะเข้าไปทำธุรกิจในเมืองหลวง โดยทั่วไปแล้วเขาจะไม่มีเวลาได้กลับมาที่นี่ไปอีก 2-3 ปีแรกเลยทีเดียว เพราะเขาจะต้องทุ่มเทอยู่ทางนั้นและจะต้องทำธุรกิจมั่นคงเสียก่อน
ฉะนั้นพวกเขาจึงสามารถไปอาศัยอยู่ที่นั่นได้ชั่วคราว
“ฉันก็ไม่ได้วางแผนจะไปอยู่ในเมืองเหมือนกัน ฉันอยากจะเลี้ยงไก่เพิ่ม แต่พี่สะใภ้รองของนายไม่เห็นด้วย” พี่ชายรองถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“ภรรยาผมบอกว่าเลี้ยงไก่แล้วดีนะครับพี่ หล่อนยังแนะนำโจวต้งไปด้วยเลย” โจวชิงไป๋อ้างถึง
“ฉันรู้ สะใภ้สี่เคยบอกมาพวกเราแล้ว ฉันถึงได้อยากจะทำ ทั้งไก่ทั้งเป็ดด้วย พี่สะใภ้รองของนายกลัวว่านโยบายจะโดนยกเลิกทีหลัง แล้วจะเลี้ยงไปโดยไม่ได้อะไรน่ะ” พี่ชายรองรู้สึกหมดหวัง
“เรื่องอย่างนั้นในอดีตจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วละครับ” โจวชิงไป๋ตอบ
พี่ชายรองเชื่อเรื่องนี้ ติดแต่ภรรยาของเขาให้ตายก็ไม่ยอมให้เขาทำ แล้วเขาจะทำยังไงได้? ทำได้แต่ทำงานในทุ่งนาต่อไปเท่านั้นเอง
“อาสี่ น้องภรรยาของนายไปทำงานอยู่ในเมืองแล้วเป็นยังไงบ้าง?” พี่ชายสามที่เฉลียวใจขึ้นมาบ้างถามขึ้น
“ดีมาก ๆ เลยละครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้าบอกเมื่อเห็นว่าพี่ชายของเขามีความสนใจเรื่องนี้
“แล้วถ้าจะซื้อร้านในเมืองต้องใช้เงินมากไหม?” พี่ชายสามถามขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...