พอได้ยินข่าวว่าหลินชิงเหอกลับมา โจวต้งก็นำไก่มาให้เธอ 1 ตัว
“เอากลับไปเถอะจ้ะ อาเธอกับอากินข้าวมาจากในเมืองแล้วละ เราไม่จุดเตาทำอาหารกันแล้วคืนนี้ พรุ่งนี้เช้าอาก็จะกลับเข้าไปกินกันในเมือง ไก่ตัวนี้จะเปลืองพื้นที่ เอากลับไปให้มันออกไข่ไว้ให้พวกเด็ก ๆ ได้กินกันเถอะ” หลินชิงเหอเกลี้ยกล่อม
“คุณอาสะใภ้ครับ ที่บ้านเชื่อคำพูดของคุณอา ปีนี้เราเลยเลี้ยงไก่เอาไว้เยอะเลยครับ” โจวต้งกล่าว
“ยังไงก็ไม่จำเป็นต้องเอามาให้อาอยู่ดี เธอเอาถุงลูกอมนี่กลับไปให้หลานชายกับหลานสาวกินกันด้วย กลับไปได้แล้วเร็ว อายังต้องจัดของอีก” หลินชิงเหอพูด
แทนที่จะได้ให้ไก่เป็นของกำนัลไป โจวต้งกลับถือถุงลูกอมกลับมาแทน คุณป้าไฉ่ถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเรื่องนี้ในภายหลัง
นางรู้ว่าหลินชิงเหอไม่ได้เป็นคนโลภประเภทที่ชอบเอารัดเอาเปรียบหรือคิดเล็กคิดน้อยพวกนั้น
กลับมาที่หลินชิงเหอ เธอฟังเรื่องราวจากท่านแม่โจว “ปีนี้โจวต้งหาเงินได้เยอะเลย เขาล้อมที่ดินด้านหลังบ้านแล้วทำเป็นฟาร์มไก่ เลี้ยงไก่เอาไว้มากกว่าร้อยตัวซะอีก และพวกมันก็ออกไข่กันถี่มาก คุณน้าของเจ้าใหญ่จะมารับไข่ไปทุก ๆ 3 ถึง 5 วัน แต่ละครั้งที่มาเอาก็ได้ไปครั้งละมาก ๆ เลยละ”
เดิมทีไฉ่ปาเม่ยวางแผนว่าจะเริ่มเลี้ยงไก่หลังจากคลอดลูกแล้ว แต่หล่อนอดที่จะเริ่มทำมันก่อนเวลานั้นไม่ได้ หลังปีใหม่หล่อนจึงให้โจวต้งไปทำสัญญาเรื่องที่ดิน จากนั้นเมื่อไม่มีงานที่ทุ่งนาแล้วหล่อนก็ไปขอให้พี่ชายของหล่อนขนพวกวัสดุก่อสร้างมาให้ แล้วจัดการสร้างกำแพงล้อมรอบที่ดินทั้งหมด
ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ว่าข้างในนั้นพวกเขาเลี้ยงไก่ไว้จำนวนมากเท่าใด
หล่อนพูดว่าเลี้ยงไก่ไว้มากกว่า 100 ตัว แต่จากปริมาณผลผลิตของไข่ไก่ที่ออกมา ท่านแม่โจวคาดว่าน่าจะมีไก่อยู่อย่างต่ำ ๆ 200 ตัว
ปริมาณมากอะไรขนาดนั้น?
ไฉ่ปาเม่ยเป็นคนที่ขยันมาก หล่อนยังเลี้ยงหมูไว้อีกด้วย
ปีนี้นับว่าเป็นปีที่หล่อนประสบความสำเร็จมากทีเดียว หล่อนคลอดลูกชายเพิ่มมาอีก 1 คน จากที่มีลูกชายและลูกสาวมาก่อนหน้านี้แล้วเท่ากับตอนนี้หล่อนมีลูกชาย 2 คนและลูกสาว 1 คน ไม่มีใครกล้ามาดูถูกหล่อนได้อีก
นอกจากนี้ไฉ่ปาเม่ยยังมีพี่ชายจากบ้านครอบครัวไฉ่อยู่อีกหลายคนด้วย
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ต้องบอกว่าถึงแม้ไฉ่ปาเม่ยจะเป็นคนซื่อตรง แต่หล่อนก็รู้วิธีที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น หล่อนมักจะเอาไข่ 1 ถึง 2 ชั่งกลับไปให้บ้านครอบครัวไฉ่เป็นครั้งคราว ดังนั้นแม้ว่าหล่อนมีเรื่องไปขอให้ทางพี่ชายมาช่วยเหลืออะไรบ้าง เหล่าพี่สะใภ้ก็ไม่ได้ว่าอะไร พวกหล่อนค่อนข้างจะยินดีด้วยซ้ำไป
สามารถกล่าวได้ว่าในปีนี้ครอบครัวของโจวต้งทำได้ดีมากทีเดียว และเป็นอย่างที่หลินชิงเหอบอกเอาไว้ว่าปีนี้เริ่มมีการลักขโมยเกิดขึ้นมาบ้างแล้ว
อย่างไรก็ดี โจวต้งได้เลี้ยงสุนัขเอาไว้ 2 ตัว และหลังจากที่เขาแยกบ้านออกมาแล้ว บ้านของพวกพี่เขยก็ไม่ได้อยู่ไกลกันนัก ดังนั้นแม้จะมีการเคลื่อนไหวอยู่บ้างในปีนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาเลย
“ฉันได้ยินปาเม่ยบอกว่าเธอเป็นคนให้คำแนะนำเรื่องนี้ตอนที่แวะไปเยี่ยมพวกเขาในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาเหรอ?” ท่านแม่โจวเอ่ยขึ้น
“ใช่ค่ะ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเองด้วยค่ะ ว่าจะทำหรือไม่ทำ เหมือนอย่างพี่ใหญ่กับคนอื่น ฉันก็แนะนำไปเหมือนกันว่าให้พวกเขาทำธุรกิจ ฉันปฏิบัติกับพวกพี่ ๆ เหมือนกับน้องชายสามของฉัน แต่พี่ใหญ่กับคนที่เหลือกลับไม่สนใจจะทำตามเอง” หลินชิงเหอตอบ
“แม่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น” ท่านแม่โจวรีบพูด
หลินชิงเหอไม่สนใจคำพูดของนางและกล่าวต่อว่า “ฉันเองก็หวังให้ครอบครัวของเราต่างมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนะคะ เพราะถ้าทุกคนทำได้ดี ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะดีตามไปด้วย ฉันให้คำแนะนำได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับคนคนนั้นเองด้วยว่าเขาอยากจะทำมันหรือเปล่า เหมือนอย่างเสี่ยวเหมยที่อยากจะไปเมืองหลวงกับฉันด้วยจริง ๆ นี่เป็นน้องสามีของฉันเองแล้วฉันจะไม่ดูแลหล่อนได้ยังไงกันคะ? แต่ถ้าวัวไม่อยากจะกินน้ำฉันก็ไม่สามารถจะไปข่มบังคับให้มันกินได้หรอก ถูกไหมคะคุณแม่?”
ท่านแม่โจวพูดขึ้นอย่างขัดเขินว่า “แม่รู้แล้วละจ้ะว่าเมื่อก่อนนี้แม่หลงผิดไป”
หลินชิงเหอไม่ใช่คนสงบเสงี่ยมยอมคน แต่ในเมื่อนางเป็นแม่สามี เธอจึงไม่พูดอะไรต่อ กลับกันเธอเปลี่ยนเรื่องพูด “ร้านที่ชิงไป๋หาไว้ให้เสี่ยวเหมยกับต้าหลินดีมากเลยค่ะ ได้ขายซาลาเปาที่นั่นจะต้องขายได้แน่ ๆ นี่เพราะเป็นน้องสามีของฉันเองหรอกนะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะจ้างคนมาดูแลร้านเพื่อขายอาหารเช้าให้ฉันไปแล้ว”
“ดีถึงขนาดนั้นเลยหรือ?” ท่านแม่โจวเอ่ยถามขึ้นทันที
“ดีมากเลยละค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
“ขายได้แต่อาหารเช้าเท่านั้นเหรอ?” ท่านแม่โจวอดถามขึ้นมาไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...