โจวหยางและโจวอู่นียังไม่กลับมาจนกระทั่งเลยเวลา 19.00 นาฬิกาไปแล้ว ซึ่งทั้งคู่ไปที่เทียนเหมินกันมา
เมื่อกลับมาพวกเขาถึงได้รู้ว่าคุณปู่คุณย่าและครอบครัวของคุณอามาถึงที่นี่กันแล้ว
“คุณปู่คุณย่าโชคดีกันจังเลยค่ะ ต่อไปนี้จะได้มาอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว” โจวอู่นีพูดอย่างอิจฉา
ตั้งแต่หล่อนกับโจวหยางมาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยรู้สึกเบื่อที่จะไปเทียนเหมินที่เคยอ่านเจอในหนังสือเลย ทุกวันพวกเขาจะเอาหนังสือไปอ่านกันที่จตุรัสเทียนเหมินเพื่อท่องจำตำรา
ผลการเรียนของทั้งคู่ไม่ค่อยดีมากนักแต่ก็ไม่ได้แย่เช่นกัน เมื่อได้โจวเฉวี่ยนที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นคนช่วยติวหนังสือให้ มันก็ช่วยให้พวกเขาเรียนง่ายขึ้น
เนื่องจากทั้งคู่ลงเรียนทางด้านศิลปศาสตร์ จึงเป็นเรื่องปกติที่จำเป็นต้องท่องจำให้ได้มาก ๆ
พวกเขาได้รับความรู้ในจุดที่สำคัญ ๆ มามากมาย ซึ่งโดยพื้นฐานก็สามารถจดจำได้ทั้งหมดแล้ว
ท่านแม่โจวดีใจมากเมื่อได้เจอหลาน ๆ และกล่าวว่า “ตอนที่พวกเราออกเดินทางมา พ่อกับแม่ของหลานบอกมาว่าให้พวกหลานตั้งใจเรียนให้มาก ๆ ถ้าต่อไปได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว บางทีอาจจะได้รับมอบหมายให้มาทำงานที่ปักกิ่งก็ได้นะจ๊ะ?”
เรื่องนี้นับว่ามีโอกาสน้อยมาก โจวอู่นีกับโจวหยางจึงไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก
ตอนที่ทั้งสองคนกลับมาถึงนั้นอาหารเย็นใกล้จะเสร็จแล้ว จากนั้นทั้งครอบครัวจึงเริ่มกินอาหารเย็นร่วมกัน
อาหารมื้อนี้จบลงตอนเวลาประมาณ 20.00 นาฬิกา
“เสี่ยวเหมย เธอเอาเสื้อผ้าของเธอกับของคุณแม่มาด้วยหรือเปล่า?” หลินชิงเหอเอ่ย
“เอามาค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยพยักหน้า
หลินชิงเหอจึงพาโจวเสี่ยวเหมยและท่านแม่โจวไปที่โรงอาบน้ำ
ส่วนพวกผู้ชาย ซูต้าหลินกับท่านพ่อโจวก็ตามโจวชิงไป๋ไปที่โรงอาบน้ำของผู้ชาย
ตอนนี้มันกลายเป็นกิจวัตรไปแล้วว่าทุกครั้งหลังจากที่กลับมาจากการเดินทาง พวกเขาจะต้องไปที่โรงอาบน้ำเพื่ออาบน้ำและขัดหลัง ถ้าไม่ทำแบบนี้พวกเขาก็จะรู้สึกไม่สบายตัว
โรงอาบน้ำปิดเวลา 21.00 น. ดังนั้นจึงมีเวลาไม่มากนักแต่ก็ดีกว่าไม่ได้มาอาบเลย หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วก็รู้สึกสดชื่นสบายไปทั้งตัว
เมื่อไปส่งคุณพ่อกับคุณแม่และครอบครัวซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยกลับแล้ว หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็พากันกลับบ้าน
ทั้งสองคนที่วิ่งวุ่นกันมาตลอดการเดินทางจึงรู้สึกเหนื่อยล้ามาก
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ทั้งคู่ก็ไม่สนใจลูก ๆ แต่ตรงกลับเข้าห้องไปนอนพักผ่อนกันทันที
โจวเฉวี่ยนและโจวกุยหลายมีหน้าที่ไปเปิดร้านในตอนเช้า เมื่อถึงเวลาโจวเฉวี่ยนก็จะไปเรียนและให้โจวกุยหลายเป็นคนดูแลร้าน
โจวเฉวี่ยนไปเรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งเปิดภาคเรียนเร็ว
แต่โจวหยางและโจวอู่นีก็ช่วยพวกเขาได้ไม่น้อยเลย
หลินชิงเหอนอนหลับไปจนถึง 9 โมงเช้า ตอนที่เธอตื่นขึ้นมา โจวชิงไป๋ไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้ว เธอเป็นคนเดียวที่ยังนอนหลับอยู่
เธอไปแปรงฟันก่อน เสร็จแล้วจึงไปล้างแอปเปิลเพื่อจะเอามากิน ในตอนนั้นเองที่โจวชิงไป๋เปิดประตูเดินกลับเข้ามา
“กินอาหารเช้าครับ” โจวชิงไป๋ส่งเกี๊ยวที่เขาเอามาให้
“ถ้าฉันหิวก็ยังมีอาหารอยู่ในมิติ แต่ฉันไม่รู้สึกอยากอาหารเลยค่ะ” หลินชิงเหอกล่าวและยังคงแทะแอปเปิลต่อ
โจวชิงไป๋จึงบอก “กินเสร็จแล้วคุณก็ไปนอนต่อนะครับ”
หลินชิงเหอกินแอปเปิลหมดก็กินเกี๊ยวไปอีก 2-3 ชิ้นแล้วกินต่อไม่ไหว โจวชิงไป๋จึงกินส่วนที่เหลือต่อจนหมดแทน
“คุณไปไหนมาคะ?” หลินชิงเหอถาม “ทำไมไม่นอนให้มากกว่านี้?”
“พาต้าหลินไปเดินสำรวจดูรอบ ๆ มาน่ะครับ” โจวชิงไป๋ตอบ
ซูต้าหลินรู้สึกวิตกในการเริ่มต้นธุรกิจ และแม้ว่าเขาจะเพิ่งเดินทางมาถึงก็ตาม แต่การเริ่มต้นอาชีพใหม่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้ ดังนั้นโจวชิงไป๋จึงตื่นแต่เช้าเพื่อพาซูต้าหลินและท่านพ่อโจว ซึ่งตื่นขึ้นตั้งแต่เช้าเช่นกันไปเดินเล่นที่ตลาด
พวกเขาไปซื้ออุปกรณ์พวกหม้อและซึ้งนึ่งใบใหญ่สำหรับทำธุรกิจ
ส่วนที่เหลือเป็นความรับผิดชอบของซูต้าหลินเอง ท่านพ่อโจวก็อยู่ที่นั่นด้วยเพื่อคอยช่วยเขา โจวชิงไป๋จึงกลับออกมาก่อนคนเดียว
หลินชิงเหอเอนตัวพิงอย่างเกียจคร้านลงในอ้อมแขนของโจวชิงไป๋และเอ่ยว่า “ต่อไปในอนาคตทางนี้จะคึกคักมากทีเดียวนะคะ”
แต่หล่อนก็ไม่คิดว่าลูกสาวของหล่อนเป็นฝ่ายผิดอยู่ดี หล่อนจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าโจวเอ้อร์นีและคนอื่นอยู่ที่ร้านเกี๊ยวเพราะเท่ากับว่ามีคนทำงานที่นั่นมากพอแล้ว
แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานอยู่ที่ร้านเกี๊ยวเลย ทุกคนไปทำงานที่ร้านเสื้อผ้ากันและร้านเกี๊ยวก็จ้างแม่เฒ่าคนหนึ่งมาล้างจานให้ที่ร้าน
เธอไม่ยอมให้ลูกสาวหล่อนเป็นคนทำงานนี้ แต่กลับยอมที่จะจ้างคนข้างนอกให้มาทำแทน ถ้าอย่างนั้นลูกสาวหล่อนพูดผิดที่ตรงไหนกัน?
นี่ยังไม่ใช่การดูถูกครอบครัวสาขารองอีกหรือ?
โจวเสี่ยวเหมยที่เพิ่งมารู้เรื่องหลังจากที่มาถึงที่นี่แล้วยังอดที่จะเอ่ยปากออกมาไม่ได้ว่า “พี่สะใภ้สี่ปิดบังเรื่องนี้ได้ดีเกินไปแล้วนะคะ”
“ร้านเพิ่งจะเปิดปีนี้เอง พี่ไม่ได้จะปิดบังอะไรเลย” หลินชิงเหอหัวเราะ
“ธุรกิจนี่ทำดีมากจริง ๆ เหรอจ๊ะ?” ท่านแม่โจวถามย้ำอีกครั้ง
“ก็ดีอยู่นะคะ” หลินชิงเหอตอบ
“ไม่รู้ว่าพี่สี่ของฉันทำบุญมาด้วยอะไร เขาถึงสามารถแต่งงานกับผู้หญิงอย่างพี่ได้ ไม่มีเรื่องอะไรเลยที่พี่สะใภ้จะไม่รู้” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้นอย่างนับถือ
หลินชิงเหอพูดยิ้ม ๆ “เดี๋ยวฉันจะแวะไปดูที่ร้านสักหน่อย เธอก็อยู่ทำธุระของเธอไปแล้วกันนะ”
เมื่อเธอเดินออกไปที่ร้านแล้ว โจวเสี่ยวเหมยก็พูดขึ้นว่า “ชีวิตแบบพี่สะใภ้สี่เป็นสิ่งที่หนูใฝ่ฝันถึงเลยค่ะ”
ท่านแม่โจวกล่าวว่า “พี่สะใภ้สี่ของแกเป็นคนสมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้านจริงๆ แค่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายมากเกินไปเท่านั้น”
โจวเสี่ยวเหมยถึงกับกลอกตา “แม่ ไม่เอาน่า อย่ามาทำเป็นไม่พอใจเลยค่ะในเมื่อแม่ได้ในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว”
……………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ชีวิตของสองผู้เฒ่ากำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วค่ะ ส่วนคนที่ยังไม่หลุดพ้นจากโคลนตมก็อยู่อย่างจน ๆ ในบ้านหลังเก่าไปแล้วกันนะคะ
ไหหม่า(海馬)
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...