ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม นิยาย บท 340

สรุปบท บทที่ 340 อับอาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 340 อับอาย – ตอนที่ต้องอ่านของ ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ตอนนี้ของ ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายInternetทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 340 อับอาย จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 340 อับอาย
EnjoyBook
บทที่ 340 อับอาย

เมื่อเห็นแม่เฒ่าสวีเป็นแบบนี้ หลินชิงเหอก็ฉีกยิ้มออกมา “คุณป้าเป็นผู้จัดการ ฉันจะให้เงินเดือนคุณป้า 35 หยวน ส่วนคนอื่นจะได้ 30 หยวนต่อเดือน เงินเดือนที่ให้ไม่ได้สูงมากนัก แต่ฉันก็หวังว่าพวกลูกจ้างจะทำงานให้คุ้มค่ากับเงินเดือนที่ได้รับ ถ้าพวกเขาทำงานกันได้ดีในอนาคตฉันจะขึ้นเงินเดือนให้อย่างแน่นอนค่ะ ไม่ได้ให้เท่านี้ไปตลอด”

“ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะจ๊ะ เงินเดือนเท่านี้ไม่ได้น้อย ๆ อาจารย์ไม่ได้ปฏิบัติต่อคนอื่นแย่หรอกจ้ะ” แม่เฒ่าสวีบอก

ในยุคนี้ค่าแรงยังไม่สูงมากนักแม้จะเป็นในเมืองหลวงก็ตาม ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในประเทศก็ยังไม่สูงมาก อย่างเช่น งานของคุณลุงหม่าที่ยกให้กับลูกชายหม่าเฉิงหมินไปก็ได้เงินเดือนแค่ 40 หยวนเท่านั้น

ตอนแรกหลินชิงเหอวางแผนไว้ว่าจะตั้งมาตรฐานของศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งนี้ให้สูง เธอจะต้องใส่ใจลูกจ้างของตนให้ดี ในปีนี้คุณป้าหม่าได้รับเงินเดือนอยู่ที่ 30 หยวนเท่านั้น

นอกจากนี้การให้เงินเดือนที่แตกต่างกันมากเกินไปสำหรับคนในชุมชนเดียวกันก็คงจะไม่เหมาะนัก

ดังนั้นจึงกำหนดไว้ที่ 30 หยวนก่อน และจะเพิ่มให้พร้อมกันทั้งหมดภายหลัง

เธอได้พูดคุยถึงเรื่องชั่วโมงในการทำงานกับคุณป้าสวีด้วย จากนั้นจึงปล่อยให้นางได้มีเวลาไปหาคน ซึ่งไม่ได้เร่งด่วนมากนัก ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันมะรืนนี้

แม่เฒ่าสวีจึงมีเวลามากพอในการไปหาคน

หลังจากเสร็จจากเรื่องนี้แล้ว หลินชิงเหอก็ไปแวะซื้อไอศกรีมแล้วเอามากินกับสวี่เชิ่งเหม่ย หู่จือและโจวเอ้อร์นีที่ร้านเสื้อผ้า

“เชิ่งเหม่ยจ้ะ หนูได้อ่านหนังสือบ้างหรือเปล่า?” หลินชิงเหอถามสวี่เชิ่งเหม่ย

สวี่เชิ่งเหม่ยตอบอย่างกระดากอาย “คุณอาสะใภ้คะ หนูอ่านไม่รู้เรื่องเลยคะ”

หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไรต่อ พี่สาวใหญ่ไม่ได้ให้สวี่เชิ่งเหม่ยเรียนหนังสือ หล่อนจึงรู้ตัวอักษรแค่ไม่กี่คำเท่านั้น

ดังนั้น เธอจึงบอกให้สวี่เชิ่งเหม่ยคอยทำตามเอ้อร์นีเพื่อเรียนรู้และจดจำตัวอักษร วิธีนี้จะทำให้สามารถพัฒนาขึ้นได้อีกมากในอนาคต

แต่เป็นตัวสวี่เชิ่งเหม่ยเองที่ไม่ต้องการเรียนรู้ หลินชิงเหอจึงไม่พูดอะไรต่อ เธอหันไปหาหู่จือและโจวเอ้อร์นี “เธอทั้งคู่จะต้องเริ่มเรียนในภาคเรียนนี้นะ ไปเรียนที่โรงเรียนภาคค่ำด้วยกัน”

“พี่เอ้อร์นีได้ไปเรียนก็ดีครับ แต่ผมต้องไปด้วยเหรอครับ?” หู่จือพูดพร้อมกับขยี้ผมของตัวเอง

“ไปด้วยกันทั้งคู่แหละจ้ะ เอ้อร์นีจะลงเรียนด้านการบัญชี เธอก็ลงเรียนเหมือนกันไปด้วยเลย” หลินชิงเหอกล่าว

ไม่ว่าจะเป็นเป็ดหนึ่งหรือสองตัวที่จะถูกปล่อยออกไป ที่สุดแล้วก็ยังต้องถูกปล่อยออกไปอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงให้พวกเขาไปเรียนกันทั้งคู่

“ผมไม่ฉลาดเหมือนพี่เอ้อร์นี ผมกลัวว่าจะเรียนไม่รู้เรื่องน่ะครับ” หู่จือเกาหัว

“เธออยากจะมีความก้าวหน้าขึ้นหรือเปล่า? ยังอยากจะอยู่ที่ปักกิ่งต่อไปหรือเปล่า?” หลินชิงเหอถาม “เธอคิดว่าจะสามารถอยู่ในสถานที่อย่างปักกิ่งนี้ได้ต่อไปในอนาคตด้วยระดับการศึกษาที่เธอมีอยู่ในตอนนี้น่ะเหรอ? ถ้าเธอไม่ตั้งใจเรียนให้หนักและดิ้นรนเพื่อความก้าวหน้าแล้วละก็ เธอจะอยู่ที่นี่ไม่รอด สุดท้ายก็ต้องกลับบ้านไป”

ชัดเจนว่าปักกิ่งในยุคถัดไปจะเป็นสถานที่ที่โหดร้าย เป็นเมืองที่น้ำตาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้

ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนอื่น แต่ก็ยังต้องพัฒนาตัวเองมากขึ้นไปอีก

หู่จือถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นผมจะไปเรียนครับ”

“ถ้าเธอไปแล้วก็ต้องเรียนให้หนัก อาจะเป็นคนออกค่าเรียนให้พวกเธอเอง ต้องเรียนกันให้ดีนะ” หลินชิงเหอสอน “ตอนนี้เธออาจจะเบื่อ แต่ต่อไปเธอจะรู้ว่ามันมีประโยชน์”

แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้ไปเป็นนักบัญชีหลังจากที่เรียนจบแล้ว แต่ก็จะกลายเป็นคนที่เฉลียวฉลาดและละเอียดรอบคอบขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีในอนาคต

สวี่เชิ่งเหม่ยเม้มปากเน้น “คุณอาสะใภ้คะ แล้วหนูควรจะเรียนอะไรดีคะ?”

หลินชิงเหอมองไปที่หล่อน “เธอยังไม่รู้ตัวหนังสือเลยแล้วจะไปเรียนได้ยังไงกันล่ะ?”

หู่จือกับโจวเอ้อร์นีนั้นแม้ว่าจะเรียนมาแค่ไม่กี่ปี แต่หลินชิงเหอก็ตั้งใจฝึกฝนพวกเขา ทำให้ตอนนี้พวกเขารู้ตัวหนังสือหลายคำแล้วและมีความรู้พื้นฐานอื่นๆ ด้วย เมื่อได้เข้าไปเรียนในชั้นพวกเขาก็จะไม่มึนงงหรือสับสนอะไรแล้ว

เธอจัดกลุ่มให้เรียนด้วยกันก็เพื่อให้พวกเขาสามารถเรียนได้รู้เรื่อง

แต่สวี่เชิ่งเหม่ยไม่รู้ตัวอักษรเลยสักตัว แล้วหล่อนจะไปโรงเรียนได้อย่างไรกัน?

“ถ้าเธอต้องการจะเรียนก็สามารถเรียนกับเอ้อร์นีได้ เมื่อไหร่ที่เธอสามารถอ่านและเขียนหนังสือได้แล้ว อาจะให้เรียนไปโรงเรียนด้วย” หลินชิงเหอกล่าว

สวี่เชิ่งเหม่ยถอนใจออกมาเบา ๆ

อีกไม่กี่วันถัดมาหลินชิงเหอก็เริ่มไปสอนหนังสือ เธอได้รับโทรศัพท์ที่ทำงานจากทางบ้านเกิดแจ้งว่าพวกเขาถึงบ้านกันเรียบร้อยแล้ว

พี่สะใภ้ใหญ่พูดทางโทรศัพท์ “เธอไม่จำเป็นต้องให้ของมีค่าอย่างเครื่องอัดเทปมาด้วยเลยจ้ะ”

“ให้ทั้งสองคนเปิดฟังบ่อย ๆ และตั้งใจเรียน ปีหน้าหลังจากที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จแล้วให้พวกเขามาเที่ยวที่ปักกิ่งได้นะคะ” หลินชิงเหอพูดด้วยรอยยิ้ม

แล้วเธอจึงรายงานเรื่องของท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวว่าสุขสบายดี จากนั้นจึงวางสายไป

ทั้งสะใภ้ใหญ่และสะใภ้สามต่างก็รู้สึกซึ้งใจในตัวหลินชิงเหอที่ช่วยขัดเกลาบ้านครอบครัวโจวรุ่นต่อไปให้

มีแต่สะใภ้รองเท่านั้นที่เมื่อเห็นเครื่องอัดเทปที่โจวหยางและโจวอู่นีเอากลับมาด้วยแล้ว หล่อนก็แสดงท่าทางจมูกไม่ใช่จมูกตาไม่ใช่ตา(1) นั่นเป็นเพราะครอบครัวของหล่อนไม่ได้รับส่วนร่วมอะไรด้วย

คืนนั้นพี่ชายรองจึงถามหล่อน “คุณเป็นอะไรไป? พี่สะใภ้ใหญ่กับน้องสะใภ้สามไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือยังไง?”

พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน พี่ชายรองรู้สึกอับอายมากจนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

ภรรยาของเขาแสดงท่าทีแบบนี้ออกมา พี่สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามก็ไม่ได้ไปทำอะไรให้หล่อนสักหน่อย นี่จะไม่ทำให้ทุกคนต้องอึดอัดใจกันไปหมดเหรอ?

………………………………………………………………………………….

(1) โกรธมาก อารมณ์ไม่ดีจนแสดงท่าทางไม่น่ามองออกมา

สารจากผู้แปล

แม่ใจดีก็จริง แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่รับน้ำใจแม่ก็ปล่อยค่ะ ไม่มีประโยชน์ที่จะยัดเยียดน้ำใจให้กับคนที่ไม่อยากรับ

สะใภ้รอง เธอควรรู้ตัวว่าตัวเองถูกลอยแพเพราะอะไรได้แล้วนะ เรื่องนี้เธอทำตัวเองทั้งนั้น โทษใครไม่ได้หรอก

ไหหม่า (海馬)

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม