โจวเสี่ยวเหมยเริ่มทำงานเป็นแม่ค้าแผงลอยแล้ว
หล่อนรู้ตัวว่าต้องสมถะ เพราะไม่ใช่ว่าเสื้อผ้าของหล่อนจะขายได้หมดเกลี้ยงทุกวัน บางวันหล่อนขายได้มาก บางวันหล่อนขายได้น้อย แต่ไม่ว่าจะได้เงินมาไม่กี่เหมาหรือได้เยอะเป็นหยวนหนึ่ง หล่อนก็ยังดีใจอยู่ลึก ๆ อยู่ดี
ส่วนหู่จือกับโจวเอ้อร์นีต้องไปเรียนภาคค่ำทุกวัน
กลับกันกับสวี่เชิ่งเหม่ยที่ดูว่างงานมากกว่าใครเพื่อน หล่อนมักจะมาดูทีวีที่บ้านของคุณตาคุณยายทุกวัน
“คุณยายคะ คุณน้าเสี่ยวเหมยขายเสื้อผ้าที่ร้านริมถนนได้เงินเท่าไหร่เหรอคะ?” สวี่เชิ่งเหม่ยถาม
“ราว ๆ หยวนหนึ่งน่ะ” ท่านแม่โจวตอบตามตรงเพราะได้ยินลูกสาวของนางพูดว่าอย่างนั้น
นางยังรู้สึกว่าสะใภ้สี่ช่างรู้จักดูแลเสี่ยวเหมยลูกสาวของนางเหลือเกิน ไม่มากไปและไม่น้อยไป ต่อให้หล่อนได้เงินมา 1 หยวนต่อวัน แต่มันก็เท่ากับ 30 หยวนต่อเดือน
เงินส่วนนี้ก็นับเป็นรายได้ได้เหมือนกัน
“คุณยาย น้องชายหนูมาไม่ได้จริง ๆ เหรอคะ? ต่อให้เขาไม่ได้ทำงานที่ร้าน เขาก็ขายเสื้อผ้าแบบน้าเสี่ยวเหมยได้นี่คะ” สวี่เชิ่งเหม่ยเอ่ย
“ความคิดนี้ไม่เลวเลย แต่ไม่ว่าน้องชายหนูจะมาหรือไม่ก็อย่ามาถามยายในเรื่องนี้เลย หนูไปถามคุณน้าเถอะ” ท่านแม่โจวเอ่ย จากนั้นนางก็เอ่ยต่อ “จริงสิ ทั้งเอ้อร์นีกับหู่จือพากันไปเรียนภาคค่ำทั้งคู่ ทำไมหนูไม่ไปเรียนกับเขาบ้างล่ะ เชิ่งเหม่ย?”
“หนูอ่านหนังสือไม่ออกน่ะค่ะ” สวี่เชิ่งเหมยบอก
“งั้นหนูก็ถามพี่เอ้อร์นีเสียสิ เรียนรู้จากหล่อนซะ คุณน้าของหนูยุ่งมาก ไม่มีเวลามาสอนหนูหรอก หนูเรียนจากเอ้อร์นีกับหู่จือแล้วก็ฟังที่คุณน้าบอก เรียนหนังสือไว้ไม่มีอะไรเสียหายหรอก” ท่านแม่โจวเอ่ย
“หนูต้องเรียนหนังสือให้เยอะกว่านี้นะ!” ท่านพ่อโจวเอ่ยอย่างเห็นด้วย
เฒ่าหวังเป็นคนพาสองผู้เฒ่าเดินชมมหาวิทยาลัยปักกิ่งจนทั่ว
สำหรับผู้เฒ่าทั้งสองที่เป็นคนชนบทแก่ ๆ จากยุคก่อนแล้ว การได้เดินไปรอบ ๆ มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศทำให้พวกเขารู้สึกราวกับเหาะได้ทีเดียว
คำพูดดั้งเดิมที่มาจากปากเฒ่าหวังก็คือ “วิชาความรู้เปลี่ยนชะตาชีวิตได้ การเรียนรู้และกระบวนการเป็นสิ่งจำเป็น ตอนนี้สังคมกำลังก้าวหน้า สิ่งอื่น ๆ อาจเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ความรู้ที่พวกคุณเรียนมาจะอยู่ติดตัวพวกคุณและไม่มีวันสูญเสียมันไปชั่วชีวิต”
ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวที่เรียนหนังสือมาได้ไม่กี่วันเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างสุดหัวใจ
พวกเขาไม่เข้าใจประโยคที่เหลือก็จริง แต่กลับเข้าใจในประโยคที่ว่า “วิชาความรู้ที่เรียนมาจะอยู่ติดตัว และไม่มีวันสูญเสียมันไปชั่วชีวิต”
ดังนั้นเมื่อทั้งสองรู้ว่าสะใภ้สี่จัดแจงให้หลานชายกับหลานสาวได้ไปเรียนหนังสือภาคค่ำ ทั้งท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวต่างรู้สึกยินดี
“หนูรู้ว่าต้องเรียนหนังสือค่ะ แต่แม่ของหนูไม่ได้สนับสนุนให้หนูเรียน หู่จือกับพี่เอ้อร์นีก็เคยไปโรงเรียนแล้วทั้งคู่ ตอนนี้หนูเลยเรียนไม่รู้เรื่องไปแล้ว” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบ
“ค่อย ๆ เรียนรู้ไปแล้วหนูจะเข้าใจเองนะจ๊ะ” ท่านแม่โจวพูด “คุณน้าของหนูเองก็เคยเรียนหนังสือเองมาก่อนเหมือนกัน ดูหล่อนตอนนี้สิว่าเฉิดฉายขนาดไหน? หล่อนได้บรรจุเป็นอาจารย์ในสถานที่อย่างมหาวิทยาลัยปักกิ่งเชียวนะ”
เมื่อนางกับสามีชราเดินเล่นกับเฒ่าหวังรอบ ๆ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง พวกเขาก็ได้ไปเห็นสะใภ้สี่ในชั้นเรียน เธอกำลังยืนอยู่ตรงแท่นบรรยายและพูดภาษาต่างประเทศอยู่ เป็นภาพที่ดูแล้วเจริญตานัก
ท่านแม่โจวไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองได้หน้ามากขนาดนี้มาก่อนในชีวิตเลย
“คุณยายหวังในตัวหนูสูงเกินไปแล้วค่ะ จะต้องเดินทางกี่ลี้หรือคะถึงจะตามคนแบบคุณน้าทันได้?” แม้สวี่เชิ่งเหม่ยจะหวาดกลัวคุณน้าอยู่นิดหน่อย แต่หล่อนก็ต้องยอมรับว่าคุณน้าของหล่อนเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถเหนือผู้หญิงทุกคนที่หล่อนเคยเห็นมา
เธอเปิดร้านเสื้อผ้าเล็ก ๆ ขึ้นมาอีกแห่งและจ้างคนงานพร้อม ๆ กับเปิดโรงงานเสื้อผ้าเล็ก ๆ แถมยังเป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยปักกิ่งอีกด้วย คน ๆ หนึ่งทำไมถึงทำอะไรได้มากมายขนาดนี้?
“คุณน้าชิงไป๋ของหนูโชคดีแล้วจ้ะ” ท่านแม่โจวยิ้มกริ่ม
ลูกชายคนเล็กของนางช่างมีบุญนักที่ได้แต่งงานกับภรรยาแบบนี้ เขาไม่มีเรื่องอะไรต้องกังวลแล้ว
สวี่เชิ่งเหม่ยไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก หล่อนยังอยากทาบทามน้องชายของตัวเองให้ และรวมถึงน้องสาวของหล่อนด้วย
ชีวิตที่นี่ช่างดีเหลือเกิน จนชีวิตในชนบทไม่อาจเทียบได้เลย
ยิ่งกว่านั้นแม่ของหล่อนยังตัดเย็บเสื้อผ้าเป็น ถ้าหล่อนได้มาที่นี่ หล่อนก็คงจะได้ช่วยงานที่ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าเล็ก ๆ นั่น
แต่สิ่งเหล่านี้หล่อนทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ ไม่กล้าเอ่ยมันออกมา
ก่อนถึงสามทุ่ม โจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินก็กลับมา
“ที่นี่อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ แล้ว กิจการจะเริ่มซบเซาลงไหม?” ท่านแม่โจวถาม
“พี่สะใภ้สี่บอกว่าเธอจัดเสื้อบุฝ้ายของผู้ชายมาล็อตหนึ่งแล้ว กิจการคงไม่แย่นักหรอกค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยตอบอย่างอารมณ์ดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...