โจวเสี่ยวเหมยปล่อยให้เด็กหญิงตัวน้อยทั้งสองคนเล่นกันที่ชั้นล่าง ส่วนตัวหล่อนเองเดินขึ้นชั้นบนมาหาพี่สะใภ้สี่
“มีอะไรเหรอ? แล้วนี่เธอกินข้าวหรือยัง?” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหล่อน
“เดี๋ยวฉันค่อยกินพร้อมพี่ค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยไม่ได้แสดงท่าทางเหินห่างเป็นคนนอกแต่อย่างใด
หลินชิงเหอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “กิจการเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยเป็นคนขยันขันแข็งมาก พวกเขาเปิดร้านซาลาเปาในตอนเช้าจนกระทั่งหลังเวลาอาหารเย็นไปแล้วพวกเขาถึงจะปิดร้าน นับว่าพวกเขาเปิดร้านเกือบทั้งวันเลยทีเดียว
“นับว่าดีเลยค่ะ” เมื่อพูดถึงธุรกิจของหล่อนแล้ว รอยยิ้มน้อย ๆ ก็ผุดบนใบหน้าของโจวเสี่ยวเหมย
ตอนนี้เกือบจะเป็นสิ้นเดือนตุลาคม และใกล้จะครบสองเดือนนับตั้งแต่ที่พวกเขามาที่นี่แล้ว เดือนแรกที่มาอยู่นั้นพวกเขาทำเงินไปได้มากกว่า 100 หยวน ซึ่งถือว่าเป็นหลักประกันให้หล่อนกับต้าหลินของหล่อนได้ดีทีเดียว
รายได้ของเดือนนี้เป็นหลักฐานแสดงให้โจวเสี่ยวเหมยเห็นว่าร้านซาลาเปาร้านนี้ทำกำไรได้ดีเพียงใด
ซูต้าหลินเป็นคนขยัน เดือนนี้เขาซื้อรถสามล้อมาใช้ ในตอนเช้าเขาจะทิ้งร้านไว้ในความดูแลของโจวเสี่ยวเหมย ซึ่งท่านแม่โจวผู้เป็นแม่ภรรยาก็จะมาช่วยงานที่ร้านบ่อย ๆ
ส่วนตัวเขาเองนั้นขับขี่รถสามล้อออกไปเร่ขายซาลาเปา
เขาใช้กล่องโฟมกล่องหนึ่งบุด้วยผ้าสะอาดด้านในสองชั้น จากนั้นก็รองซาลาเปาด้วยกระดาษไข เท่านี้ก็ดำเนินกิจการได้แล้ว
กิจการค้าขายเป็นไปได้ด้วยดีทีเดียว
เมื่อรวมกับการขายที่ร้านเข้าไปด้วย ทำให้ภายในเดือนนี้ที่ยังไม่ถึงสิ้นเดือน พวกเขาก็ทำรายได้เกินกว่า 200 หยวน
แล้วโจวเสี่ยวเหมยจะไม่ปิติยินดีได้อย่างไร?
“ขยันทำงานเข้านะแล้วอนาคตชีวิตของเธอจะไม่ตกต่ำเลย” หลินชิงเหอพยักหน้า
“พี่สะใภ้สี่คะ เมื่อวานนี้เชิ่งเหม่ยไปดูทีวีที่บ้านแล้วก็บอกว่าพี่เปิดร้านเสื้อผ้าอีกแห่งหนึ่งน่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย
“พี่แค่เปิดเล่น ๆ น่ะ” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม
“เปิดเล่น ๆ อะไรกันคะ? พี่สะใภ้สี่ ทำไมพี่ถึงเก่งขนาดนี้?” โจวเสี่ยวเหมยโพล่งออกมาด้วยความอิจฉา “ถ้าฉันเก่งเท่าพี่สะใภ้สี่แล้วล่ะก็นะ!”
พี่สะใภ้สี่ของหล่อนเป็นผู้หญิงยุคใหม่โดยแท้ ไม่มีอะไรที่เธอทำไม่ได้เลย แถมยังทำได้ดีกว่าผู้ชายอีกด้วย
พี่สะใภ้สี่ของหล่อนเปิดร้านเกี๊ยว หล่อนไม่รู้ว่ากิจการร้านเกี๊ยวเป็นอย่างไรบ้าง แต่คงใช้ร้านซาลาเปาเทียบกันได้อยู่
อย่างมากร้านเกี๊ยวก็ทำกำไรได้มากกว่า 200 หยวนเหมือนกัน แต่ต่อให้มันมากขนาดนี้ก็เทียบไม่ได้เลยกับร้านเสื้อผ้า
โจวเอ้อร์นีไม่ได้พูดอะไร แต่สวี่เชิ่งเหม่ยบอกว่าในช่วงเวลาที่ลูกค้าเยอะ ร้านเสื้อผ้าสามารถทำกำไรไปได้ 2,000 หรือ 3,000 หยวนต่อเดือนเลยทีเดียว
แน่นอนว่ายังมีค่าใช้จ่ายและค่าจิปาถะอื่น ๆ ให้ต้องคำนวณ แต่ถึงอย่างนั้นกำไรที่ได้ก็ไม่ใช่น้อย ๆ
ไม่อย่างนั้นพี่สะใภ้สี่ของหล่อนคงไม่เปิดร้านค้าแห่งหนึ่งในตอนต้นปีกับร้านค้าอีกแห่งหนึ่งในตอนปลายปีหรอกถูกไหม?
โจวเสี่ยวเหมยเดาได้ถูกต้อง กำไรของร้านเสื้อผ้านับว่ามีมหาศาล นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมหลินชิงเหอถึงจ้างหม่าเฉิงหมินหลังจากได้ยินว่าเขาตกงาน
ดูจากผลกำไรของร้านเสื้อผ้าผู้หญิงแล้ว เป็นเพราะการมีร้านตัดเย็บเล็ก ๆ อยู่ด้วยนี่เอง ทำให้ทางร้านค้าได้ผลกำไรมากขึ้นเนื่องจากไม่มีพ่อค้าคนกลางมาเกี่ยวข้อง
ในช่วงที่ขายดี ผลกำไรของร้านเสื้อผ้านั้นมีเกือบจะถึงสามพันหยวน
ดังนั้นการเพิ่มร้านเสื้อผ้าผู้ชายเข้าไปจึงไม่มีปัญหา อย่างไรเสียเธอก็ยังเปิดร้านแรกไว้อยู่แล้ว เช่นเดียวกับร้านค้าทั้งสอง
“พี่สะใภ้สี่คะ พี่คิดว่าอย่างไรคะถ้าฉันจะขอเสื้อผ้าบางชุดจากโรงงานเล็ก ๆ ของพี่ไปตั้งแผงลอยริมถนนขายที่จัตุรัสในตอนเย็น?” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย
หลินชิงเหอยิ้ม “โรงงานเล็ก ๆ อะไรกัน? มันเป็นแค่ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าเล็ก ๆ เอง” จากนั้นเธอก็พูดต่อ “ได้สิ เธอเอาไปได้เลย แต่จะขนไปไหวไหม?”
ซูต้าหลินต้องตื่นแต่เช้ามืด แม้เขาจะนอนพักในตอนกลางวันได้ แต่ก็ยังเหนื่อยล้าอยู่ดี จึงเป็นเรื่องดีที่จะเข้านอนแต่หัวค่ำ
“แน่นอนสิคะว่าฉันขนไปได้ พี่ตั้งราคาต่อชุดไว้เท่าไหร่เหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม
“พี่ให้เธอขายเอากำไร 3 เหมาแล้วให้เสื้อผ้ากับเธอ 5 ชุดต่อวันแล้วกัน” หลินชิงเหอเอ่ยพลางยิ้มกริ่มเมื่อเห็นว่าหล่อนมีความสนใจจะทำจริง ๆ
ราคา 3 เหมาต่อชุดถือว่าไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงว่ามีชุดให้ขาย 5 ชุดต่อวัน หากหล่อนสามารถขายชุดได้ 2 หรือ 3 ชุดในแต่ละคืน มันก็มีค่าเท่ากับเงินเดือนโดยเฉลี่ยของคน ๆ หนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...