ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม นิยาย บท 351

สรุปบท บทที่ 351 เลี้ยงไม่เชื่อง: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ตอน บทที่ 351 เลี้ยงไม่เชื่อง จาก ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 351 เลี้ยงไม่เชื่อง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายInternet ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 351 เลี้ยงไม่เชื่อง
EnjoyBook
บทที่ 351 เลี้ยงไม่เชื่อง

วันนี้สวี่เชิ่งเหม่ยก็มาร่วมกินเนื้อแกะด้วย หลังจากกินเสร็จแล้วหล่อนก็ไปที่บ้านของคุณตาคุณยาย

เห็นดังนี้แล้ว หล่อนก็เอ่ยขึ้น “ดูเหมือนคุณน้าจะเชื่อฟังคุณน้าสะใภ้เลยนะ?”

“ไม่ใช่เหมือน เขาเชื่อฟังหล่อนเลยล่ะ” หู่จือพูดต่อ

ก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยได้ไปที่บ้านของคุณน้าบ่อยนักแต่ก็พอได้ยินมาบ้าง เมื่อแม่ของเขากลับมา หล่อนก็จะพูดถึงเป็นบางครั้งบางคราว

หล่อนบอกว่าคุณน้าไม่ได้ควบคุมน้าสะใภ้เลย และปล่อยให้หล่อนใช้เงินตามอำเภอใจ ไม่รู้จักการใช้ชีวิตแต่อย่างใด

แต่ต่อมาความคิดของมารดาก็เปลี่ยนไป บอกว่าคุณน้าช่างโชคดีที่ได้แต่งงานกับผู้หญิงอย่างน้าสะใภ้ หล่อนดูแลเขาเป็นอย่างดี

คุณน้ายังมีสภาพเหมือนกับช่วงที่ลาออกจากกรมมาใหม่ ๆ ไม่ผอมแห้งแรงน้อยแต่อย่างใด

หลังจากนั้นคุณน้าก็มีชีวิตที่โชคดีขึ้นเรื่อย ๆ ที่ได้แต่งงานกับนักศึกษามหาวิทยาลัย

ต่อจากนั้นเขาก็ได้มาที่นี่และเห็นกับตาตัวเอง ว่าน้าสะใภ้คนนี้เป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในบ้าน

แต่ต้องบอกว่ามันก็ไม่เสียหายอะไรถ้าจะเชื่อฟังน้าสะใภ้

โจวเอ้อร์นีไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก คุณอาสี่เชื่อฟังอาสะใภ้สี่อยู่แล้ว มันเป็นแบบนี้มาโดยตลอด หล่อนคุ้นชินกับเรื่องนี้นานแล้ว

“พี่เชิ่งเหม่ย ถ้าพี่มองหาสามีในอนาคต พี่ต้องเลือกคนที่เหมือนกับพ่อผมนะครับ ใช้พ่อผมเป็นมาตรฐานนะเข้าใจหรือเปล่า?” โจวกุยหลายบอก

“แต่คุณน้าไม่มีสิทธิ์มีเสียงในครอบครัวเลยนะ” สวี่เชิ่งเหม่ยพูด

“งั้นอนาคตพี่จะเลือกสามีที่มีอำนาจใหญ่สุดในบ้าน? ไม่ใช่ตัวพี่เองเหรอครับ?” โจวกุยหลายมองหล่อนอย่างประหลาดใจ

“แน่นอนสิว่าพี่ใหญ่สุดในบ้าน” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบ

“ถ้างั้นก็เพียงพอแล้วล่ะครับ” โจวกุยหลายเอ่ย

โจวเฉวี่ยนไม่ได้พูดอะไร ในตอนนี้ลูกค้าเดินเข้ามาในร้านแล้ว เขาจึงผละไปทำเกี๊ยว

สวี่เชิ่งเหม่ยไม่ได้คุยเรื่องนี้อีก หลังกินเสร็จแล้วหล่อนก็ทิ้งชามไว้ให้โจวเอ้อร์นีล้างแล้วก็ไปที่บ้านของคุณตาคุณยาย

วันนี้ท่านพ่อโจว ท่านแม่โจว โจวเสี่ยวเหมย และซูต้าหลินก็ล้อมวงกินเนื้อแกะเหมือนกัน

โจวชิงไป๋ให้โจวกุยหลายนำเนื้อแกะไปส่งให้ 2-3 ชั่ง เมื่อนำไปตุ๋นรวมกับหัวไชเท้าและกินคู่กับหมั่นโถวย่าง มันก็ช่างอร่อยล้ำ

“เชิ่งเหม่ย หนูกินอะไรมาหรือยัง? ถ้ายังไม่ได้กินก็มากินกับเราสิจ๊ะ” ท่านแม่โจวพูด

“หนูกินมาแล้วล่ะค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยยิ้ม

หล่อนตอบแล้วก็ไปดูทีวี สักพักท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวก็กินอาหารเสร็จ เช่นเดียวกับโจวเสี่ยวเหมยและลูก ๆ ของหล่อน ส่วนซูต้าหลินเป็นคนเก็บจานชามไปล้าง

“กินให้น้อยลงหน่อยนะคะ ตอนนี้พุงคุณมีแต่ไขมันแล้วรู้ไหม” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยขณะมองเขา

“มัน…เสียดาย…น่ะครับ…ถ้าไม่กินให้หมด” ซูต้าหลินตอบอย่างซื่อ ๆ

“งั้นก็กินเลยค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยร้องอย่างขบขัน

จริง ๆ เลย ทำไมหล่อนถึงรักท่าทางเซื่อง ๆ แบบนี้ของเขากันนะ?

ซูต้าหลินยิ้มกริ่มและกินอาหารส่วนที่เหลือ เมื่อโจวเสี่ยวเหมยเห็นว่าเขาชอบกินจึงเอ่ยขึ้น “เราอย่าอยู่กันอย่างขัดสนเลยค่ะ ปีนี้กินเนื้อแกะให้มากขึ้นเป็นอย่างไรคะ?”

“ครับ” ซูต้าหลินพยักหน้า

เนื้อแกะนี้ช่างอร่อยและอุดมด้วยสารอาหาร การได้กินเนื้อแกะในอากาศหนาวแบบนี้นับว่าวิเศษจริง ๆ

โจวเสี่ยวเหมยทิ้งจานชามไว้ให้เขาเป็นคนล้าง

เมื่อหล่อนเดินผ่านโถงบ้าน หล่อนก็ได้ยินสวี่เชิ่งเหม่ยคุยกับคุณตาคุณยายของหล่อน “ดูเหมือนว่าคุณน้าสี่จะเชื่อฟังน้าสะใภ้ไปหมดทุกเรื่องเลยนะคะ”

ท่านแม่โจวได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ “น้าสะใภ้ของหนูพูดถูก แน่นอนว่าคุณน้าก็ต้องเชื่อฟังหล่อนนี่จ๊ะ”

“นั่นไม่ถูกเหรอจ๊ะ ผู้ชายคนไหนก็ตามที่ได้แต่งงานกับพี่สะใภ้สี่ต่างก็นำความรุ่งเรืองมาให้บรรพบุรุษกันทั้งนั้นแหละ? เห็นไหมว่าพวกเขาต้องใช้เวลาดิ้นรนน้อยลงกี่ปี?” โจวเสี่ยวเหมยได้ฟังก็เอ่ยเสริมขึ้นมา

สวี่เชิ่งเหม่ยสะอึกไปก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณน้าของหนูมีความสามารถมากเหมือนกันนะคะ”

“ปะ…เปล่าค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยละล่ำละลัก “คุณน้าเล็กทำไมพูดแบบนี้ล่ะค่ะ?”

“ที่น้าพูดแบบนี้ก็เพราะน้าเข้าใจน้าสะใภ้สี่ดี ถ้าหนูมีเรื่องอะไรก็พูดกับหล่อนต่อหน้าตรง ๆ อย่าพูดอะไรลับหลังหล่อนแบบนี้” โจวเสี่ยวเหมยจ้องมองหล่อน

“น้าเล็กคะ หนูไม่ได้คิดแบบนั้นจริง ๆ” ดวงตาของสวี่เชิ่งเหม่ยแดงขึ้นขณะที่หล่อนเอ่ยเสียงเศร้า

“หนูไม่ได้คิดก็ดีแล้ว เราดูทีวีกันเถอะ” โจวเสี่ยวเหมยโบกมือ

เหตุผลที่โจวเสี่ยวเหมยเข้ากับหลินชิงเหอได้ดีก็เพราะพวกเธอมีนิสัยบางอย่างเหมือนกัน ตรงที่ไม่ใช่คนที่จะเก็บอะไรไว้ในใจ

โจวเสี่ยวเหมยไม่อยากจะพูดอะไรอีกเมื่อเห็นหลานสาวคนนี้ยังคงปฏิเสธอย่างหนักแน่น

“อย่าห่วงเรื่องของน้าสะใภ้กับน้าสี่ของหนูเลยจ้ะ ถ้าน้าสี่เชื่อฟังน้าสะใภ้ ทั้งชีวิตนี้ยายก็วางใจได้แล้ว” ท่านแม่โจวพูด

หลังคุยกันเรื่องที่ลูกสะใภ้อกตัญญูกับหญิงชราข้างบ้านสองคน ท่านแม่โจวก็รู้สึกว่าสะใภ้สี่ของนางช่างไร้ที่ติ

และเป็นเพราะเรื่องนี้เอง สวี่เชิ่งเหม่ยจึงดูทีวีไม่รู้เรื่องแล้ว

ขณะเข้านอนในคืนนั้นเอง โจวเสี่ยวเหมยก็พึมพำกับซูต้าหลิน “เชิ่งเหม่ยเด็กคนนี้เป็นอะไรกันนะ? ฉันรู้สึกว่าคำพูดของหล่อนในคืนนี้มันมีอะไรแอบแฝงอยู่ หล่อนเหมือนพยายามจะยุแยงตะแคงรั่วความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้สี่กับคุณแม่ของฉันเลยค่ะ”

“หล่อน…คงไม่น่าทำแบบนั้นมั้งครับ?” ซูต้าหลินไม่ได้คิดอะไรมากนัก

“ทำไมฉันรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีนิสัยบางอย่างเหมือนพี่สะใภ้รองจังเลยคะ? ขนาดมีความสัมพันธ์อบอุ่นแบบนี้แล้วก็ยังเลี้ยงไม่เชื่อง” โจวเสี่ยวเหมยพูดต่อ

……………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รู้สึกอิหยังวะกับเชิ่งเหม่ย หนูคิดจะทำอะไรกันคะ? จะตามรอยสะใภ้รองบ้านโจวเหรอคะหนู? หรือหนูชินกับสังคมผู้ชายเป็นใหญ่จนรู้สึกช็อกพอมาเจอความสัมพันธ์ผู้หญิงเป็นใหญ่ในครอบครัวแม่เข้ากันคะ?

น้าสี่เขาไม่ได้เกาะน้าสะใภ้กินจ้ะหนู เขาแค่เคารพบูชาภรรยาไว้เหนือเกล้าเท่านั้น

ไหหม่า(海馬)

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม