สะใภ้ทั้ง 2 คนออกมาจากห้องหลังจากที่คุยกันจบแล้ว หลินชิงเหอหยิบนาฬิกาของผู้หญิงออกมาจากกระเป๋าผ้าแล้วพูดว่า “ฉันเตรียมนาฬิกาเรือนนี้มาให้อู่นีด้วยค่ะ หล่อนกำลังจะเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ต้องมีนาฬิกาไว้ใช้”
“นี่…รับไว้ไม่ได้หรอกจ้ะ” สะใภ้สามเอ่ยขึ้นอย่างกระดาก
หล่อนซื้อนาฬิกาเรือนหนึ่งในราคาที่แพงกว่า 100 หยวนมาให้พี่ชายสาม เรื่องนี้ทำให้หล่อนรู้สึกปวดใจไปพักใหญ่ทีเดียว
แต่กระนั้นก็ไม่มีทางอื่น เขาจำเป็นต้องมีนาฬิกาไว้สำหรับดูเวลา
เมื่อเทียบกันแล้ว น้องชายสามตระกูลหลินและน้องสะใภ้ตระกูลหลินใช้เงินอย่างกระเหม็ดกระแหม่กว่ามาก พวกเขาเริ่มทำร้านก่อนพี่ชายสามเสียอีก ถ้าเธอที่เป็นพี่สาวไม่ได้ซื้อนาฬิกามาให้ เขาก็คงยังลังเลที่จะซื้อมันมาใช้เองเป็นแน่
นาฬิการาคามากกว่า 100 หยวนถือว่าเป็นของที่แพงมาก
“หยางหยางกับอู่นีได้กันคนละเรือนค่ะ ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับพวกเขาที่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย” หลินชิงเหอคะยั้นคะยอ
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ต้องการจะกลับไปที่บ้านเก่าของพวกเขา ในเมื่อธุรกิจของพี่ชายสามที่นี่กำลังไปได้สวย เช่นนั้นไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลอีก
เมื่อไม่ค่อยมีโอกาสได้กลับมา พวกเขาจึงต้องการกลับไปดูบ้านของตนที่หมู่บ้าน ในตอนที่กลับไปถึงปักกิ่งแล้ว ถ้าท่านแม่โจวถามขึ้นมาจะได้ตอบคำถามได้
“จะทำอย่างนั้นได้ยังไง? เธอต้องอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันที่นี่ก่อน กินเสร็จแล้วค่อยกลับไปก็ยังไม่สาย” สะใภ้สามรีบพูด
“พอเรากลับไปถึงบ้าน สะใภ้ใหญ่จะปล่อยให้พวกเราต้องหิวได้หรือคะ?” หลินชิงเหอบอกยิ้ม ๆ
“ไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละจ้ะ ครั้งนี้เธอกลับมาแล้วไม่อยู่กินข้าวที่บ้านเราจะได้ยังไงกัน?” สะใภ้สามไม่ยอม
“ตอนเย็นกินให้เร็วขึ้นมาหน่อย อิ่มแล้วค่อยกลับไปสิ” พี่ชายสามเอ่ยสนับสนุน
คงจะไม่ดีถ้าไม่ตอบรับคำเชื้อเชิญของทั้ง 2 คน ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่รับประทานอาหารเย็นกับพี่ชายสามและสะใภ้สาม
หลังอาหารเย็นเพิ่งเป็นเวลา 5 โมงเย็นเท่านั้น น้องชายสามตระกูลหลินก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาให้พี่เขยของเขาใช้ขี่พาพี่สาวกลับบ้าน พรุ่งนี้เขาจะใช้จักรยานขนของต่อไปก่อน
หลินชิงเหอจึงไม่เกรงใจ ดังนั้นโจวชิงไป๋เลยขี่มอเตอร์ไซค์พาเธอกลับหมู่บ้าน
พี่ชายสามอดอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ แสดงความเห็นออกมาว่า “มอเตอร์ไซค์คันนี้เร็วดีจริง และช่วยประหยัดแรงไปได้มากเลย”
“ฉันได้ยินชิงเหอบอกว่าคันหนึ่งราคามากกว่า 700 หยวนแน่ะค่ะ แพงมากจริง ๆ” สะใภ้สามบอก
“มากกว่า 700 หยวน?” พี่ชายสามอุทานเสียงจิ๊จ๊ะออกมา
ตอนนี้เขาอาจจะทำเสียงขัดใจอย่างนี้ออกมา แต่รอจนกระทั่งเขาได้เห็นน้องชายสามตระกูลหลินเปลี่ยนจากจักรยานเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ขนของมากมายไปกลับได้อย่างรวดเร็วราวกับสายลมเสียก่อนเถอะ ตอนนั้นเขาจะรู้สึกว่าชีวิตของตนเองช่างยากลำบากนัก
เมื่อโจวชิงไป๋และหลินชิงเหอกลับมาถึงหมู่บ้าน สะใภ้ใหญ่กับพี่ชายใหญ่ก็เสร็จงานแล้ว และกำลังกินข้าวกันอยู่ที่บ้าน
โจวชิงไป๋ขี่มอเตอร์ไซค์ตรงกลับไปที่บ้านครอบครัวโจว
มอเตอร์ไซค์คันนี้เป็นของหายาก จึงเป็นเรื่องเกรียวกราวกันไปทั้งหมู่บ้าน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอาหารเย็นในชนบท ทุกคนต่างมาที่บ้านครอบครัวโจวพร้อมกับถ้วยข้าวในมือ
หลินชิงเหอไม่เคยต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโจวชิงไป๋จัดการต่อ ส่วนตัวเธอเดินเข้าไปในลานบ้านกับสะใภ้ใหญ่
อันดับแรก เธอหยิบลูกอมกับขนมออกมาจากถุงผ้าแล้วส่งให้พวกเด็ก ๆ ของบ้านสายหลักและบ้านสายรองเอาไปแบ่งกัน จากนั้นจึงเข้าไปในบ้านพร้อมกับสะใภ้ใหญ่
สะใภ้รองชำเลืองดูของที่พวกเด็ก ๆ นำกลับมา แต่ไม่ได้พูดอะไร
โจวลิ่วนีเคี้ยวลูกอมอยู่ในปากพลางพูดขึ้นว่า “ทุกปี มีแค่ลูกอม 2 ถุงกับขนมอีกกล่อง ตอนนี้หล่อนหาเงินมาได้ตั้งเยอะ ยังให้ของเราแค่นี้เอง ขี้เหนียวจริง ๆ เลย”
โจวซานนีตวัดตามองไปที่หล่อน ก่อนที่จะก้มหน้ากินข้าวต่อ ปกปิดสายตาที่แสดงความรังเกียจของตนเอาไว้
หลินชิงเหอไม่ได้ใส่ใจกับบ้านสายรองเลย
หล่อนเข้าไปในห้องเพื่อคุยกับสะใภ้ใหญ่
ตอนนี้ที่หมู่บ้านมีไฟฟ้าใช้แล้ว ทุกบ้านต่างก็มีหลอดไฟส่องสว่าง
“พี่ได้ยินหยางหยางบอกว่าเธอกับอาสี่ของเขาเดินทางไปตอนใต้กันอีกแล้ว ก็เลยรู้เลยว่าเธอจะต้องกลับมาที่นี่” สะใภ้ใหญ่พูดอย่างรื่นเริง
“ก่อนจะสิ้นสุดช่วงวันหยุด ฉันต้องกลับมาค่ะ ตลอดทั้งปีเราสามารถเดินทางกลับมาได้ก็แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น” หลินชิงเหอกล่าว
มันเป็นเพราะหมู่บ้านเขาอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะดีนัก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เลวร้ายมาก แต่การจะไปที่นั่นได้ต้องใช้เส้นทางบนภูเขา ดังนั้นพวกเด็กสาวทั่วไปจึงไม่ยินดีที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านนั้น
เนื่องจากว่าถ้าพวกหล่อนต้องการจะกลับไปที่บ้านฝั่งมารดา ก็จะต้องเดินไปตามถนนบนภูเขา คนที่ไม่ระวังก็สามารถตกเขาลงไปได้ ซึ่งถือว่าอันตรายมาก
“ไม่ใช่ว่าไม่มีใครมาเป็นแม่สื่อให้กับเขาหรอกนะ เพียงแต่ว่าเขาไม่อยากจะแต่งงานกับพวกหญิงหม้ายที่สูญเสียสามีไป ดังนั้นพอเวลาผ่านไป เขาก็เลยยังไม่ได้แต่งงานจนกระทั่งบัดนี้ และก็เป็นเพราะพวกแม่สื่อชอบแนะนำหญิงม่ายเหล่านั้นให้เขาอยู่บ่อยครั้ง เขาก็เลยไล่ตะเพิดพวกแม่สื่อกลับไปเท่านั้นเอง เลยเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงมีชื่อเสียงในแง่ที่ว่าเป็นคนอารมณ์ร้ายน่ะจ้ะ” สะใภ้ใหญ่อธิบาย
“แล้วซานนีถูกเขาเลือกมาได้ยังไงคะ ในเมื่อเขาอยู่ไกลออกไปขนาดนั้น?” หลินชิงเหอขมวดคิ้วขึ้นมาอีกรอบ
“ซานนีเป็นคนเลือกเขาด้วยตัวเองจ้ะ” แม้ว่าในห้องจะมีเพียงแค่สะใภ้ใหญ่และหลินชิงเหอเท่านั้น แต่สะใภ้ใหญ่ก็ลดเสียงพูดลง
“ห้ะ?” หลินชิงเหอไม่อยากจะเชื่อ
“พี่สะใภ้สามของเธอไม่รู้เรื่องนี้ พี่ถามมาจากซานนีน่ะจ้ะ” สะใภ้ใหญ่บอก
โจวซานนีและฝ่ายชายได้พบกันตอนที่พวกเขาไปที่ตลาด ซึ่งอยู่ที่อำเภอติดกัน ไม่ใช่อำเภอเดียวกันกับพวกเขา แต่เป็นอีกอำเภอหนึ่ง
มันเป็นเรื่องบังเอิญด้วย โจวซานนีแบกถั่วเหลืองถุงหนึ่งเข้าไปในเมืองเพื่อดูว่ามีใครต้องการจะซื้อหรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นคำสั่งของสะใภ้รอง
หล่อนเองก็ต้องการจะขายให้สะใภ้สาม แต่เนื่องจากหล่อนมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับสะใภ้สาม จึงไม่มีหน้าจะไปขายให้ ฉะนั้นจึงเรียกใช้งานโจวซานนีลูกสาวที่ขยันขันแข็งของตน
โจวซานนีไม่ได้พูดอะไรมากนัก หล่อนแค่แบกถุงถั่วเหลืองขึ้นหลังแล้วเข้าไปในเมือง แต่ถุงถั่วเหลืองหนักหลายสิบชั่ง แม้ว่าโจวซานนีจะคุ้นเคยกับการทำงาน แต่มันจะง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไร?
………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ยัยเด็กลิ่วนีนี่ก็นิสัยไม่ดีเสมอต้นเสมอปลายเลยค่ะ เขาให้ของก็บุญแล้ว
รู้สึกโล่งอกที่จริง ๆ แล้วสามีของซานนีไม่ได้เป็นอย่างที่สะใภ้สามบอก ไม่อยากเห็นน้องแต่งออกไปแล้วถูกสามีทำร้ายร่างกายน่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...