ครั้งนี้หม่าเฉิงหมินแนะนำคนมาให้ เขาเสนอมาในนามของแม่เฒ่าสวีซึ่งเป็นผู้จัดการศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้า คนที่แนะนำมานี้เป็นหลานสาวคนโตของแม่เฒ่าสวีเอง
หล่อนอายุ 17 ปีในปีนี้ และช่วยทำงานอยู่ที่บ้าน นับว่าก็เป็นคนที่ดี
หลินชิงเหอเคยเห็นหล่อนมาแล้ว แม้ว่าหล่อนจะดูเรียบ ๆ แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นคนทำงานคล่องแคล่ว หน้าตายิ้มแย้มรับแขก
ดังนั้นเมื่อแม่เฒ่าสวีเอ่ยปากขึ้น หลินชิงเหอจึงขอให้หล่อนพาหลานสาวมาหา
ครอบครัวทางสามีของแม่เฒ่าสวีคือสกุลเฉิน และหลานสาวที่พามามีชื่อว่าเฉินซานซาน
แม้ว่าชื่อจะบ่งบอกถึงความบอบบางอยู่บ้าง(1) ทว่าหลินชิงเหอสังเกตเห็นผิวหนังที่มือของหล่อนมีรอยด้านอยู่หลายจุด ซึ่งชี้ชัดเห็นว่าเป็นคนที่สามารถทำงานได้
“เธอยังเป็นคนใหม่ ดังนั้นแน่นอนว่าเงินเดือนจะได้ไม่เท่าคนงานเก่า ฉันให้เงินเดือนเธอได้แค่ 30 หยวนต่อเดือน จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเธอเอง ถ้าเธอทำงานดีก็จะได้เงินเดือนขึ้นอย่างแน่นอน” หลินชิงเหอมองไปที่หล่อน
เฉินซานซานตัวไม่สูงมากนัก ประมาณ 160 เซนติเมตร หล่อนไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนัก แต่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ฉันทราบค่ะ แม่ของฉันบอกไว้แล้วตอนที่มา”
คุณแม่ของหล่อนคือหลี่อวี้เฟิง ผู้ซึ่งทำงานอยู่กับแม่เฒ่าสวีแม่สามี คนหนึ่งดูแลในกะช่วงเวลากลางคืน และอีกคนดูแลกะช่วงเวลากลางวัน
หลินชิงเหอพยักหน้าด้วยความพอใจ
ฉะนั้นเฉินซานซานจึงถูกจัดให้ไปอยู่ที่ร้านเสื้อผ้ากับโจวเอ้อร์นี
แต่งานที่ทำยังไม่ตายตัว หลินชิงเหอให้โจวเอ้อร์นีและเฉิงเยว่สลับงานกันเป็นครั้งคราว โดยให้เฉิงเยว่ไปดูแลร้านเสื้อผ้าและโจวเอ้อร์นีมาดูแลร้านเครื่องดื่ม
เธอยังให้หู่จือหรือกังจือไปทำที่ร้านเครื่องดื่มด้วย แน่นอนว่าไม่บ่อยนัก แค่เปลี่ยนหน้าที่เป็นบางโอกาส
ตอนปลายเดือนกันยายน สวี่เชิ่งเหมยและจ้าวจวินก็กลับมา โดยมีพี่สาวใหญ่และครอบครัวของหล่อนเดินทางมาด้วย
มากันทั้งครอบครัวเลย
เมื่อได้เห็น หลินชิงเหอก็รู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา ตอนนี้เป็นช่วงเวลาไหนของปีกัน? การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะเริ่มในไม่ช้านี้แล้ว เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของปีสำหรับครอบครัวที่ทำการเกษตร เธอไม่คิดว่าพวกเขาจะมากันหมดทุกคน
ดูเหมือนว่าการแต่งงานครั้งนี้สำคัญมากจริง ๆ
มันก็ไม่น่าประหลาดใจนัก พวกเขาได้ลูกเขยจากปักกิ่ง จะไม่มาร่วมสัมผัสกับความโชคดีนี้ได้อย่างไรกันล่ะ?
หลินชิงเหอไม่สนใจที่จะมาต้อนรับหล่อน เธอแสดงท่าทีที่ไม่อบอุ่นหรือเย็นชา พวกเขาก็น่าจะสังเกตเห็นท่าทีของเธอ ด้วยเหตุนี้พี่สาวใหญ่จึงไม่ได้เข้ามาใกล้เธอเช่นกัน
พวกเขาทั้งหมดไปเบียดรวมกันอยู่ที่บ้านของท่านพ่อโจวและท่านแม่โจว
ท่านแม่โจวไม่ได้ดุด่าหลานสาวของนางมากนักก็จริง แต่กับลูกสาวคนโตแล้ว นางไม่ทนเก็บไว้เลย
พี่สาวใหญ่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากการถูกด่าเลย หล่อนยังรู้สึกเศร้าอยู่นิดหน่อยพลางกล่าวว่า “แม่คะ หนูรู้ว่าเชิ่งเหม่ยทำตัวไม่ดี แต่ตอนนี้หล่อนก็กำลังจะแต่งงาน…”
“นี่คิดถึงแค่เรื่องการแต่งงานอย่างนั้นเหรอ? ถ้านี่เป็นที่หมู่บ้าน อย่าหวังว่าจะได้โงหัวขึ้นมาอีกเลยไปตลอดชีวิต ถ้าเป็นแต่ก่อนนี้ดูสิว่าหล่อนจะถูกลากตัวออกไปประจานหรือเปล่าที่ปล่อยตัวง่ายอย่างนี้!” ท่านแม่โจวประณาม
“นี่ไม่ใช่เมื่อก่อนแล้วนี่ค่ะ ตอนนี้ปฏิรูปแล้ว” พี่สาวใหญ่ตอบเสียงแผ่ว
“นี่ยังหาเหตุผลมาได้อีกเหรอ? ตอนที่หล่อนทำเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงของครอบครัวอย่างนี้ขึ้นมา หล่อนเคยคิดถึงครอบครัวตระกูลโจวบ้างหรือเปล่า? น้าสะใภ้อุตส่าห์พาหล่อนมาทำงานที่นี่ แล้วหล่อนล่ะ? หล่อนปิดบังเรื่องจากพวกเราทุกคน ไม่เพียงแต่แอบไปอยู่กับคนอื่น แต่ยังท้องขึ้นมาอีก!” ท่านแม่โจวระเบิดออกมา
“ในเมื่อน้องสะใภ้สี่เป็นคนพาเชิ่งเหม่ยมาที่นี่ หนูก็ปล่อยให้หล่อนอยู่ในความดูแลของน้องสะใภ้สี่แล้วนี่ค่ะ ใครจะไปคิดว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้?” พี่สาวใหญ่เบือนหน้าหนี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...