โจวซื่อนีเป็นคนที่มีความอดทนดีมาก หล่อนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อมาอยู่บนรถไฟ
ในขณะที่โจวซานนีอดทนต่อการเดินทางนี้แทบไม่ไหว ครั้งแรกก็บนรถประจำทาง ดังนั้นเมื่อขึ้นมาบนรถไฟได้ หล่อนก็ผล็อยหลับไปทันที
เป็นเหมือนกับท่านแม่โจวตอนที่นางเดินทางไปที่ปักกิ่งเลย
นี่เป็นการเดินทางครั้งแรกสำหรับหลี่อ้ายกั๋วเช่นกัน แต่เขากลับสบายดี
โจวชิงไป๋ซื้อข้าวกล่องบนรถไฟมาให้กินกัน หลินชิงเหอเอาแอปเปิล ส้ม มะเขือเทศและแตงกวาออกมาจากกระเป๋าผ้าของเธอ
แม้แต่ในตอนนี้เธอก็ยังไม่เคยชินกับอาหารกล่องบนรถไฟ ดังนั้นเธอจึงกินไปแค่ไม่กี่คำ รวมทั้งไข่ลวก และให้ส่วนที่เหลือกับโจวชิงไป๋
หลี่อ้ายกั๋วและโจวซื่อนีรู้สึกพอใจกับอาหาร ยังมีอีกกล่องสำหรับซานนี แต่ตอนนี้หล่อนยังหลับอยู่ ดังนั้นค่อยให้หล่อนกินหลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้ว
“อาสะใภ้สี่กินแค่นั้นเองหรือคะ? เดี๋ยวจะหิวนะคะ” โจวซื่อนีเอ่ยขึ้น
“ไม่หิวหรอกจ้ะ อาก็กินของพวกนี้ไปแล้วไง?” หลินชิงเหอบอก
“แค่นี้จะอิ่มท้องได้ยังไงกันคะ?” แม้โจวซื่อนีจะเป็นเด็กปราดเปรียว แต่หล่อนก็เป็นเด็กสาวซื่อ ๆ ที่จริงใจด้วย
หลินชิงเหอยิ้ม ในตอนที่เธอได้ยินสิ่งที่คุณแม่เวิงพูดนั้น ทำให้เธอคิดที่จะพาซื่อนีมาที่ปักกิ่ง แต่อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้เก็บเอาเรื่องที่คุณแม่เวิงพูดมาคิดจริงจังอะไรนัก
เวิงกั๋วต้งอายุมากกว่าซื่อนีมาก นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างระหว่างคนเมืองและคนชนบทอีกด้วย สภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตขึ้นก็แตกต่างกันมาก หลินชิงเหอไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถเข้ากันได้
เธอไม่ได้คิดอะไรมากในเรื่องนี้เลย
ทว่าการพาเด็กสาวที่โตแล้วอย่างซื่อนีออกไปอยู่ที่นั่น เป็นเรื่องดีสำหรับตัวหล่อนเองอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับต้านีแล้ว หล่อนจะต้องอยู่ที่หมู่บ้านไปตลอดชีวิต แน่นอนว่านั่นไม่ใช่สิ่งเลวร้ายสำหรับต้านี ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว มันก็ดูแย่กว่าอยู่ดี
และเป็นเพียงคนในรุ่นนี้เท่านั้นหรือที่แย่กว่า? มันจะไม่ใช่เท่านี้ คนในรุ่นถัดไปก็จะเป็นเหมือนกัน นี่เป็นบทสรุปที่รู้ได้ล่วงหน้า
เมื่อซานนีตื่นขึ้น หลี่อ้ายกั๋วจึงเป็นคนคอยดูแลหล่อน ซานนีไม่สามารถกินอาหารได้ หล่อนจึงกินแอปเปิลและผลไม้อื่น หลังจากนั้นก็รู้สึกอยากอาหารมากขึ้น
หล่อนกินอาหารกล่องจนหมด เห็นได้ว่าอาหารถูกปากหล่อน
“ครั้งก่อนนั้นคุณย่าของหนูก็เป็นเหมือนกับหนูนี่แหละจ้ะ หลับไปตลอดทางจนถึงปักกิ่งเลย” หลินชิงเหอบอกด้วยรอยยิ้ม
จากประสบการณ์ดังกล่าว ท่านแม่โจวจึงรู้สึกเข็ดขยาด ถึงแม้นางจะอยากกลับไปบ้านเกิดก็ตาม แต่ชีวิตของนางในปักกิ่งนั้นสุขสบายมาก มิเช่นนั้นนางก็คงจะยังอยากกลับบ้านเกิดอยู่
“หนูไม่เคยนั่งรถอย่างนี้มาก่อนเลยค่ะ รถสะเทือนมาก” โจวซานนีตอบอาย ๆ
“ไม่เป็นไรจ้ะ นั่งอีกไม่กี่ครั้ง แล้วหนูก็จะชินไปเอง” หลินชิงเหอพยักหน้า
พวกเขามาถึงปักกิ่งในอีก 2 วันถัดมา ทั้ง ๆ ที่อ่อนล้ากันมาก แต่เมื่อโจวซานนี หลี่อ้ายกั๋วและโจวซื่อนีลงจากรถไฟ และได้เห็นผู้คนเข้าออกที่สถานีรถไฟปักกิ่งแล้ว พวกเขาก็เต็มไปด้วยพลังความมุ่งมั่น
พวกเขาต้องรอรถประจำทางจากสถานีรถไฟเพื่อไปยังมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
เนื่องจากพวกเขาบังเอิญออกมาในจังหวะที่ไม่ดี รถประจำทางเพิ่งจะออกไป
โจวซานนี หลี่อ้ายกั๋วและโจวซื่อนีรู้สึกตื่นเต้นกันมาก ปักกิ่งช่างแตกต่างจากที่บ้านเกิดของพวกเขาอย่างมาก
มีแม้กระทั่งตู้โทรศัพท์ โทรศัพท์ถือว่าเป็นของหายากขนาดไหนกันล่ะ? แต่ที่นี่กลับมีอยู่ริมถนนด้วย!
เมื่อรถประจำทางมาถึง พวกเขาก็ขึ้นไปบนรถ และเดินทางไปจนถึงมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ระหว่างทางก็ได้เห็นกองทัพจักรยานของผู้ที่เพิ่งเลิกงาน และทัศนียภาพอื่น ๆ
อำเภอเมืองในบ้านเกิดของพวกเขาถือว่ารุ่งเรืองมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับปักกิ่ง ที่นั่นกลับดูไม่มีอะไรเลยจริง ๆ
ปักกิ่งในปี 1983 ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วเป็นอันมาก สถานที่หลาย ๆ แห่งเริ่มปรากฏให้เห็นถึงความทันสมัย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...