บทที่ 465 ดอกไม้กินคน
หลินชิงเหอไล่ดูบัญชีและสรุปยอดทั้งหมด เธอหยิบเงินออกจากลิ้นชักมานับอีกครั้งก่อนจะเก็บเข้าไปในมิติ
จากนั้นเธอจึงมาที่ร้านเกี๊ยว สองเดือนที่ผ่านมานี้เป็นช่วงเวลาเหนื่อยยากของเจ้าสามแห่งครอบครัวของเธอ เธอจะไม่มาให้กำลังใจเขาสักหน่อยหรือ?
“เจ้าสาม ทำไมบ้านเรามีตู้เย็นเพิ่มมาอีกหนึ่งตู้ล่ะ?” หลินชิงเหอถาม
ที่บ้านมีตู้เย็นเพิ่มมาอีกหนึ่งตู้พร้อมทั้งยังมีเครื่องดื่มและไอศกรีมอัดอยู่เต็ม ซึ่งเธอไม่ได้ตำหนิอะไรใด ๆ
“ผมซื้อมาเองแหละครับ ใช้เงินเก็บที่ผมมีอยู่ ไม่ได้ดึงเงินมาจากบัญชีร้านเลยครับ” โจวกุยหลายเชิดหน้าเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย
“นี่เป็นบุญคุณสำหรับครอบครัวเราเลยนะเนี่ย” หลินชิงเหอยิ้มกว้างขณะมองที่ลูกชายคนเล็ก
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ตู้เย็นตู้เดียวเอง” โจวกุยหลายที่กำลังอารมณ์ดีตอบกลับอย่างสบายใจ
เงินเก็บเหล่านั้นคือเงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของเขาเอง เขาเก็บเงินเหล่านั้นด้วยตัวเองแล้วจึงนำไปซื้อตู้เย็นมา หลังซื้อไปแล้วมันก็ใช้ประโยชน์ได้มหาศาล
เมื่อเขากลับมาที่บ้านทุกค่ำ เขาก็จะได้กินไอศกรีมหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ เพิ่มความสดชื่น
“ดูเหมือนพี่รองของลูกจะเลือกเดินสายวิชาการนะ ในอนาคตเราคงต้องพึ่งเจ้าสามดูแลธุรกิจของเราแล้วล่ะ” หลินชิงเหอจับมือกับลูกชาย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมชินแล้ว” โจวกุยหลายบอก
เขาพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัส หลินชิงเหอได้ฟังก็ยิ้มออกมา “เมื่อป๊ากลับมาแล้วก็ให้เขามาทำงานแทนและให้ลูกหยุดนะ อีกไม่กี่วันก็ต้องกลับไปเรียนแล้ว สองสามวันนี้ลูกจะพาพี่ซานนีกับพี่เขยสามไปเที่ยวรอบ ๆ ก็ได้”
“ไม่ไปหรอกครับ อากาศร้อนเกินไป แถมเปิดเรียนมาผมยังต้องมีฝึกทหารอีก ผมอาบแดดมาเกินพอแล้วล่ะครับ” โจวกุยหลายปฏิเสธจะเป็นมัคคุเทศก์ “ม้าให้พี่รองพาพวกเขาไปเที่ยวแล้วกันครับ”
“แล้วพี่รองลูกอยู่ไหนล่ะ?” หลินชิงเหอถาม ตั้งแต่ตื่นมาตอนเช้าตรู่เธอก็ไม่เห็นเขาเลย
“พี่เขาไปหอเทียนถาน(1)พร้อมกับแบกกระดานวาดรูปไปด้วย แล้วตอนบ่ายก็มีสอนพิเศษ มีเวลาว่างแค่ช่วงเย็นเท่านั้นแหละครับ” โจวกุยหลายเอ่ยอย่างขมขื่น
หลินชิงเหอเกิดความอยากรู้ขึ้นมา “ทำไมจู่ ๆ พี่รองของลูกเกิดสนใจวาดรูปขึ้นมาล่ะ?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูภาพวาดของเขาก็เหมือนจะสวยดีนะครับ ในห้องเรามีรูปที่เขาวาดเสร็จแล้วอยู่หลายรูปเลย ที่บ้านคุณปู่คุณย่าก็มีเหมือนกัน รูปที่วาดสวย ๆ ก็ส่งเป็นของขวัญ คุณย่าเก็บไว้บูชาเหมือนของมีค่าแล้วก็บอกให้คุณปู่ใส่กรอบแขวนบนผนังบ้านเลยทีเดียวล่ะครับ” โจวกุยหลายบอก
ตอนนี้พี่รองของเขาเลือกเส้นทางศิลปะและวรรณกรรมแล้ว โจวกุยหลายที่นึกอะไรบางอย่างได้จึงเอ่ยขึ้นมา “พี่รองอยากจะซื้อกีตาร์ตัวหนึ่งด้วย”
“ได้สิ” หลินชิงเหอไม่คัดค้าน การมีงานอดิเรกถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
“ตัวที่ดี ๆ ราคาหลายร้อยหยวนเลยนะครับ” โจวกุยหลายยังลังเลนิดหน่อยในการซื้อมันให้กับพี่ชายรองของเขา
“ซื้อเถอะ กล้องของลูกแพงกว่ากีตาร์ของเขาหลายเท่าเลยนะ” หลินชิงเหอบอก
โจวกุยหลายยิ้มกริ่ม กล้องถ่ายรูปของเขาช่างไร้ที่ติจริง ๆ เป็นกล้องคุณภาพระดับชั้นยอดที่เมื่อนำออกมาอวดแล้วก็ทำให้มีหน้ามีตามากขึ้น
“พวกลูกสองคนได้แต่ของดี ๆ ทั้งนั้นเลย ขณะที่พี่ใหญ่ของลูกไม่ได้สักชิ้น” หลินชิงเหอถอนหายใจด้วยความรันทด
“พี่ใหญ่อยู่ที่นั่นเล่นอะไรไม่ได้หรอกครับ ม้าทำของกินแล้วส่งไปให้เขาก็ได้นะครับ” โจวกุยหลายบอก
หลินชิงเหอมีความคิดอย่างเดียวกัน แต่ภายใต้สภาพอากาศร้อนแบบนี้เธอจะทำอะไรส่งไปให้ดีนะ? ตอนนี้ระบบขนส่งพัสดุก็ไม่ได้ฉับไวเป็นระบบเหมือนกับในยุคหลังแถมยังช้าเป็นเต่าคลาน ขนาดที่ใครสักคนอยากส่งอาหารไปให้ พวกเขายังต้องรอให้อากาศเย็นลงก่อนถึงจะส่งไปได้
“สวี่เชิ่งเฉียงเป็นยังไงบ้าง? เขาขยันเรียนไหม?” หลินชิงเหอเปลี่ยนประเด็น
“ผมไม่ได้ยินเรื่องนี้จากพี่กังจือเลยครับ คงไม่น่ามีปัญหาอะไร” โจวกุยหลายบอก จากนั้นก็เบ้ปาก “ม้า…ม้าไม่รู้หรอกว่าตระกูลจางข้างบ้านเราน่ารังเกียจขนาดไหน”
“เกิดอะไรขึ้นล่ะ?” หลินชิงเหอถาม
“จางเหมยเหลียนคนนั้นแหละครับ พอเห็นว่าม้ากับป๊าไม่อยู่บ้าน หล่อนก็มาเคาะประตูเรียกพี่หู่จือ” โจวกุยหลายแค่นเสียง
คราวที่แล้วจางเหมยเหลียนเพิ่งถูกหู่จือปฏิเสธ แต่หล่อนก็ยังคงไม่ยอมแพ้ ดังนั้นหล่อนจึงพยายามมาก่อกวนในช่วงวันหยุดฤดูร้อนนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...