บทที่ 485 รายได้มากกว่า 10,000 ต่อเดือน
หล่อนต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการพาเขามาปักกิ่ง และทำให้ครอบครัวจ้าวให้งานอันมีค่านี้แก่เขา ตอนนี้เขาทำให้ตัวเองต้องสูญเสียงานไปแล้ว จะไม่ให้หล่อนโมโหได้อย่างไร?
ด้วยนิสัยที่เอะอะเป็นต้องทำร้ายร่างกายผู้อื่นเช่นนี้ หล่อนจะให้เขาไปดูร้านเสื้อผ้าให้ได้อย่างไร หากเขาไปทำร้ายใครเข้า แล้วหล่อนจะยังทำธุรกิจได้อีกหรือ?
หากชื่อเสียงเสียหายขึ้นมา เช่นนั้นก็อย่าคิดว่าจะทำธุรกิจได้
นอกจากนี้ร้านเสื้อผ้าก็เป็นแหล่งรายได้เพียงแห่งเดียวของหล่อน ธุรกิจไปได้ดีมาก หล่อนได้ส่วนแบ่งมากกว่า 200 หยวนต่อเดือน
“พี่ นี่พี่จะไล่ผมไปตอนนี้เหรอ?” สวี่เชิ่งเฉียงเกรี้ยวกราดเมื่อได้ยินว่าหล่อนไม่ยอมให้เขาไปทำงานที่ร้านเสื้อผ้า
“จางเหมยเหลียนเป็นคนดูแลร้านเสื้อผ้าอยู่ ฉันจะไปที่นั่นเป็นครั้งคราวเท่านั้น ที่นั่นไม่ได้ขาดคนจริง ๆ ถ้านายต้องการจะอยู่ที่ปักกิ่ง นายก็สามารถออกไปตั้งร้านแผงลอยด้วยตัวเองได้ ฉันคิดว่าร้านแผงลอยได้กำไรดีทีเดียว หลังหักต้นทุนสินค้าจากร้านเสื้อผ้าของเราแล้ว เงินที่เหลือจะเป็นของนาย” สวี่เชิ่งเหม่ยบอก
หล่อนไม่ต้องการให้น้องชายไปทำงานที่ร้านเสื้อผ้าของตนเองจริง ๆ ที่นี่เป็นความเชื่อมั่นสุดท้ายของหล่อนแล้วในตอนนี้ หล่อนมีรายได้ทุกเดือนซึ่งทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกปลอดภัยขึ้น
สวี่เชิ่งเฉียงไม่พอใจ “พี่ต้องการให้ผมออกจะตั้งแผงบนถนนงั้นเหรอ? พวกหาบเร่แผงลอยพวกนั้นจะทำเงินได้มากสักเท่าไหร่กันเชียว!”
การตั้งร้านแผงลอยนั้นไม่มีเกียรติเลย แย่ยิ่งกว่าคนทำอาชีพอิสระเสียอีก
“พี่ไม่รู้หรอกว่าได้เงินมากเท่าไหร่ แต่ธุรกิจเสื้อผ้าที่ร้านพี่ยอดเยี่ยมมาก สามารถทำเงินได้เยอะเลยแต่ละเดือน เสื้อผ้า 1 ตัวทำกำไรได้ 1 หยวน นายไม่จำเป็นต้องขายให้ได้มากมายอะไรนัก แค่ขายได้วันละ 2-3 ตัว นายก็ได้เงินมากกว่าไปทำงานแล้ว” สวี่เชิ่งเหม่ยโน้มน้าวเขา
สวี่เชิ่งเฉียงไม่เต็มใจ “ถ้ามันกำไรดีนักละก็ ทำไมพี่ไม่ออกไปตั้งแผงขายของด้วยตัวเองล่ะ?”
สวี่เชิ่งเหม่ยเองก็คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าอายเช่นกัน “ก็พี่มีร้านไม่ใช่หรือไง? แล้วพี่ยังต้องช่วยครอบครัวจ้าวทำงานบ้านด้วย นายคิดว่าพี่อยู่ว่าง ๆ หรือไง? เมื่อไหร่ที่นายมีความสามารถพอแล้ว นายก็ไปเปิดร้านของตัวเองได้ ถึงตอนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปตั้งร้านแผงลอยแล้ว”
สวี่เชิ่งเฉียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงแม้เขาจะไม่เต็มใจมากขนาดไหนก็ช่วยอะไรไม่ได้ เมื่อไม่มีงานที่โรงงานครอบครัวจ้าวแล้ว หากเขาไม่สามารถหางานที่อื่นทำได้แล้วจะทำอย่างไร?
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไปที่ร้านเสื้อผ้า
“นี่น้องชายของคุณหรือคะ? เขาหล่อจังเลยค่ะ” จางเหมยเหลียนซึ่งแต่งตัวอยู่ในชุดที่นำสมัยแถมยังมีหน้าตาค่อนข้างสะสวยมาตั้งแต่กำเนิดเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
สวี่เชิ่งเฉียงถึงกับตะลึงเมื่อได้เห็นหล่อน จากนั้นก็รีบถามขึ้นว่า “พี่ นี่ใครเหรอครับ?”
“จางเหมยเหลียนจ้ะ หุ้นส่วนของพี่เอง” สวี่เชิ่งเหม่ยแนะนำ
“ตกลงครับ ต่อไปผมจะมาที่นี่เพื่อรับสินค้าไปตั้งแผงขาย!”
สวี่เชิ่งเหม่ยพยักหน้าด้วยความพอใจ ตราบใดที่ทำงานหนัก อนาคตของเขาจะไม่ย่ำแย่แน่
สำหรับคุณน้าและคุณน้าสะใภ้ที่ดูถูกพวกเขา เมื่อถึงเวลานั้นหล่อนจะให้พวกเขาได้เห็นว่าพวกตนก็สามารถเจริญรุ่งเรืองในเมืองปักกิ่งแห่งนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร!
เหมือนคำโบราณกล่าวที่ว่า ‘เดือนกลัววันที่สิบห้า ปีกลัวเทศกาลไหว้พระจันทร์’(1) เมื่อผ่านเทศกาลไหว้พระจันทร์ไป อากาศก็เริ่มเย็นลงเล็กน้อยแล้ว
เมื่อเร็ว ๆ นี้หลินชิงเหอได้สั่งซื้อเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงล็อตใหม่ไป หลังเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงล็อตนี้แล้วจะมีเสื้อกันหนาวบุนวมตามมา
เสื้อกันหนาวบุนวมนี้คือเสื้อกันหนาวขนเป็ด ซึ่งไม่เหมือนกับเสื้อกันหนาวขนเป็ดในยุคต่อมา เนื่องจากในเวลานี้ยังไม่มีเทคนิคบางประการในการผลิต ทำให้เสื้อกันหนาวขนเป็ดพองโตและดูเทอะทะมาก ดังนั้นคนจำนวนมากจึงเรียกว่าเสื้อกันหนาวบุนวม
เสื้อกันหนาวบุนวมได้รับความนิยมมาก หลินชิงเหอเองชอบก็สวมมันมาก มันอาจจะโป่งพองไปสักหน่อย แต่อุ่นสบายมากจริง ๆ อีกทั้งก็เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเตรียมความพร้อมสำหรับฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้ด้วย
“ตอนนี้วันเวลาดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะคะ” หลินชิงเหอที่ไม่มีอะไรทำก็ได้นอนเล่นอยู่บนเตียง แล้วเอ่ยกับชิงไป๋ของเธอซึ่งกำลังคำนวณบัญชีของร้านเกี๊ยวอยู่ที่บ้าน
โจวชิงไป๋มองไปที่เธอแล้วเอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ไปบ่อน้ำพุร้อนกันไหมครับ?”
“ไปกับใครคะ?” หลินชิงเหอถาม
“แค่เรา 2 คนครับ” โจวชิงไป๋ไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนโลกส่วนตัวที่หาได้ยากของพวกเขา 2 คน
หลินชิงเหอชำเลืองมองไปที่เขา จากนั้นก็เลิกคิ้วพร้อมพูดว่า “ตกลงค่ะ พรุ่งนี้เราไปกัน ที่นั่นมีที่เที่ยวที่อื่นด้วย ไปเที่ยวด้วยกันเลย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...