บทที่ 564 รถยนต์
ของที่ซื้อก็คือทีวีและยังมีเครื่องซักผ้า รวมทั้งตู้เย็นด้วย
นี่ก็คือของใช้ที่ต้องมีในบ้าน
สำหรับสิ่งของใหญ่ ๆ อย่างอื่นนั้นยังไม่มีอะไรต้องซื้อ หลินชิงเหอมีพัดลมเป็นของตัวเองแล้วหนึ่งเครื่อง และก็เอาออกมาใช้แล้ว ที่เหลือยังไม่มี
พอซื้อเสร็จก็ให้ทางห้างสรรพสินค้ามาส่งที่บ้าน หลังจากนั้นสองสามีภรรยาก็ออกมาเดินเล่นข้างนอก
หลินชิงเหอดูสภาพแวดล้อมรอบ ๆ แล้วก็รู้สึกพอใจมาก หลังจากนั้นเธอจึงโทรศัพท์กลับไปหาโจวเสี่ยวเหมย ร้านของชำนั้นก็ไปเรียกโจวเสี่ยวเหมยให้มารับโทรศัพท์ พวกหล่อนรู้ว่าวันนี้เป็นวันที่พวกเธอควรที่จะโทรศัพท์กลับมาได้แล้ว ท่านแม่โจวจึงพาซูเถียนน้อยไปรออยู่ที่นั่น
ท่านแม่โจวไปรอรับโทรศัพท์ด้วยตัวเอง โดยให้โจวเสี่ยวเหมยทำงานของหล่อนต่อไป หลินชิงเหอกะเวลาเอาไว้ พอเห็นว่าได้เวลาพอสมควรแล้วก็โทรศัพท์ไปหา
พอได้ยินเสียงแม่สามีของตัวเอง หลินชิงเหอก็พูดด้วยรอยยิ้ม “คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ตอนนี้พวกเรามาถึงแล้ว ทุกอย่างดีมากเลยค่ะ ตลาด โรงพยาบาลก็อยู่ใกล้ ๆ บ้านก็กว้างขวางดีด้วยค่ะ”
ท่านแม่โจวฟังแล้วพูดขึ้น “งั้นก็ดีแล้ว ๆ ไปที่นั่นก็ไม่คุ้นหน้าใคร พวกเราไม่ต้องไปหาเรื่องกับคนอื่นเขานะ อยู่ที่นั่นอย่างสงบสักครึ่งปีแล้วค่อยกลับมาก็ได้”
นางไม่รู้ว่าครึ่งปีที่ลูกชายกับลูกสะใภ้ของนางไปฝากคลอดที่นั่น มันก็เป็นช่วงเวลาที่อสังหาริมทรัพย์จะพัฒนาขึ้นเล็กน้อยพอดี
ท่านแม่โจวคุยสักพักก็วางสายไป ใบหน้าดูผ่อนคลายลง
เห็นท่าทางแบบนั้นของนาง โจวเสี่ยวเหมยก็พูดขึ้น “พี่ชายสี่กับพี่สะใภ้สี่สบายดีแล้วใช่ไหมคะ?”
“สบายดี ๆ” ท่านแม่โจวพูด “ท้องนี้ไม่ง่ายเลย ต้องไปคลอดไกลถึงเซี่ยงไฮ้โน้นน่ะ”
“ก็มันจำเป็นต้องไปคลอดที่นั่นนี่คะ ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเรากับแม่เฒ่าจางจะเป็นเหมือนปลาตายตาข่ายขาด*ได้น่ะสิคะ เราจะทำยังไง?” โจวเสี่ยวเหมยพูด
(*หมายถึง ต่อสู้จนตายทั้งสองฝ่าย)
โจวเสี่ยวเหมยพูดไปพูดมาก็ยังคงด่าว่าแม่เฒ่าจางนั่นอยู่เช่นเดิม
แม้ว่าไม่ช้าก็เร็วพี่สะใภ้สี่ก็ยังต้องไปคลอดลูกที่นั่น แต่ถ้าแม่เฒ่าจางนั่นไม่เคยจ้อง พี่สะใภ้ก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองเดือนถึงจะไป เดิมทีต้องไปช่วงปิดเทอมด้วยซ้ำ
ท่านแม่โจวพูด “ตอนนี้ก็ย้ายไปแล้ว อย่าสนใจยายเฒ่าจางนั่นอีกเลย จริงสิ ต่อไปถ้าพี่สาวใหญ่ของแกโทรศัพท์มา ไม่ต้องเรียกแม่มารับนะ ฉันล่ะรำคาญหล่อนจะตายอยู่แล้ว ลูกสาวตัวเองก็ไม่สั่งสอนให้ดี ๆ ลูกชายหรือก็ไม่สอนให้ดีอีก!”
ท่านแม่โจวก็กลัวว่าจะถูกแจ้งความจับเหมือนกัน เนื่องจากยายเฒ่าคนนั้นไม่ใช่คนมีคุณธรรมอะไร นางเคยได้ยินคนแก่ ๆ ที่สวนสาธารณะพูดว่ากฎหมายนั้นรุนแรงมาก ขนาดคนที่ท้อง 7 เดือนแล้วก็อาจจะโดนจับไปทำแท้งได้เลย
“ไม่พูดถึงพี่สาวใหญ่แล้วค่ะ แต่ปีหน้าเถียนเถียนก็น่าจะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว ยังดีที่หล่อนรักเรียน เป็นเด็กรู้ความจริง ๆ” โจวเสี่ยวเหมยพูด
“ใช่ เรียนเยอะ ๆ บ้านหลักโจวของพวกเราต่างก็รู้จักร่ำเรียนหนังสือ” ท่านแม่โจวพยักหน้าพูด
“คุณแม่อย่าพูดเลยค่ะ ที่บ้านหลักโจวสามารถเรียนหนังสือได้ก็เป็นเพราะพี่สะใภ้สี่พาออกมา ทำให้ครอบครัวบ้านชาวนาจน ๆ เรียนหนังสือเป็นกันหมด” โจวเสี่ยวเหมยกลอกตา
ท่านแม่โจวก็เป็นต้องถอดถอนใจ
จะว่าไปก็ไม่ผิดนัก ไม่ว่าจะหยางหยางของบ้านเจ้าใหญ่ในตอนนี้ หรือว่าโจวอู่นีของบ้านสาม ทุกคนก็ได้สะใภ้สี่เป็นคนพาออกมา
และก็เป็นเธอที่เริ่มต้นก่อน ไม่อย่างนั้นทุกคนในครอบครัวของเธอก็คงไม่ให้ความสำคัญกับการเรียนหนังสือหรอก ก่อนหน้านี้ท่านแม่โจวยังคิดเลยว่าเรียนหนังสือไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร
ตอนที่สะใภ้ใหญ่ส่งต้านีกับเอ้อร์นีไปเรียนหนังสือ เป็นตอนที่พวกเขาแยกบ้านกันอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นนางคงไม่เห็นด้วย ยังดีที่พอแยกบ้านแล้วก็กลายเป็นบ้านคนละหลังกัน ดังนั้นนางจึงไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้
ตอนนี้ดูสิ พวกเขาต่างพากันเรียนหนังสือหมดแล้ว
“สั่งสอนหล่อนดี ๆ สั่งสอนดีแล้วต่อไปลูกสี่คนของเธอก็จะได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยกันหมดทุกคน จะได้นำเกียรติมาให้กับวงศ์ตระกูล!” ท่านแม่โจวพูด
โจวเสี่ยวเหมยชอบประโยคนี้ขอนางมาก หล่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หนูไม่ได้คาดหวังให้พวกเขาเก่งแบบพวกเจ้าใหญ่หรอกนะคะ ต่อให้พวกเขาสอบติดมหาวิทยาลัยธรรมดา หนูกับต้าหลินก็พอใจมากแล้วค่ะ”
หล่อนกับต้าหลินคุยกันแล้วว่า ตอนนี้พวกเขามีทั้งร้านมีทั้งบ้านแล้ว รอคืนเงินพี่ชายสี่กับพี่สะใภ้สี่ให้หมด ต่อไปพวกเขาก็จะสามารถเก็บเงินได้แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...