บทที่ 569 รับลูกศิษย์อีกคน
น้ำหนักของโจวเสี่ยวเหมยตอนนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 70 กว่ากิโลกรัม
เนื่องจากหล่อนมีความสูงแค่ 160 เซนติเมตร ดังนั้นน้ำหนักเท่านี้ก็เรียกได้ว่าอ้วนแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนยังสาว โจวเสี่ยวเหมยมีน้ำหนักเท่าไหร่เอง?
หล่อนในตอนนั้นดูเอวบางร่างน้อยมาก พอต่อมาคลอดลูกคนแล้วคนเล่า หล่อนก็อ้วนขึ้น ๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะต้าหลินทำอาหารอร่อย เขาทำกับข้าวในตอนที่หล่อนท้องไว้มากมายหลายอย่าง
ดังนั้นในตอนนี้โจวเสี่ยวเหมยจึงไม่สามารถลดน้ำหนักลงได้แล้วต่อให้อยากจะผอมแค่ไหนก็ตาม หลินชิงเหอบอกให้หล่อนควบคุมปากของตัวเอง หล่อนกลับบอกว่าควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะต้าหลินที่เอาอกเอาใจทำอาหารให้หล่อนกิน บอกว่ายิ่งอ้วนยิ่งมีวาสนาดี….
หลินชิงเหอได้ยินแล้วก็ไม่กล้าพูด แต่ในใจคือกลอกตาใส่ไปแล้ว
ไม่ใช่ว่าเธอกำลังดูถูกคนอ้วนหรอก คนอ้วนเหล่านั้นไม่ได้กินข้าวของเธอ ความจริงแล้วผู้หญิงรูปร่างอวบจัดว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าอ้วนเกินไปก็ไม่ไหวเช่นกัน
อย่างแรกจะทำให้ดูเป็นคนมีอายุ อย่างที่สองคือจะเหนื่อยง่าย และอย่างที่สามคือจะหาซื้อเสื้อผ้าใส่ยาก
ลองคิดถึงตอนไปซื้อเสื้อขนาดใหญ่ที่สุดของร้านเสื้อผ้าแล้วใส่ไม่ได้ดู จะพอเข้าใจในความผิดหวังนั้นได้ไหม?
หลินชิงเหอไม่ฟังคำพูดคะยั้นคะยอของโจวชิงไป๋
ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจะกินข้าวน้อยลงและบอกโจวชิงไป๋ให้ซื้อข้าวโพดกลับมาต้ม พอเธอหิวก็จะกินข้าวโพดต้ม เห็ดหอม แตงกวา ส่วนอาหารว่างก็กินผลไม้เอา
เธอยังคงกินซุปเนื้อตุ๋นกับซุปปลาอยู่ เพราะรู้สึกว่ากินแล้วน้ำหนักไม่เกิน ทั้งยังทำให้ร่างกายแข็งแรง
ยายเฒ่าเจียงที่กินข้าวเสร็จก็มาเดินเล่นหลังอาหารที่นี่ในวันนี้ จากนั้นจึงเห็นว่าพวกเขากำลังกินอาหารกันอยู่พอดี อาหารล้วนมีแต่อาหารชั้นเลิศ แต่นางกลับสังเกตว่าหลินชิงเหอไม่ค่อยกินเท่าที่ควร โจวชิงไป๋พูดเสียงอ่อนด้วยเธอก็ทำเพียงฝืนขยับตะเกียบ นางจึงพูดอย่างอดไม่ได้ “เธอท้องไส้อยู่กินข้าวเยอะหน่อยเถอะ ไม่งั้นจะบำรุงเด็กในท้องยังไง เด็กจะดูดซึมอาหารจากตัวเธอนะ? นั่นจะไม่เป็นอันตรายกับตัวแม่หรือ?”
“คุณป้าคงยังไม่รู้ ฉันกินต่อไปไม่ไหวแล้ว คุณป้าเห็นผิวพรรณฉันไหมคะ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ได้แย่อะไรนี่คะ?” หลินชิงเหอเหอพูด
“ต้องไม่แย่อยู่แล้ว ตอนนี้พวกเธอดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว ตอนพวกฉันน่ะนะชีวิตลำบากมาก ช่วงตั้งท้องก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่” ยายเฒ่าเจียงพูด
“แม่สามีของฉันก็ลำบากมาก่อนจะสบายเหมือนกันค่ะ แต่ที่เซี่ยงไฮ้ของพวกคุณป้าเจียง น่าจะดีกว่าพวกท่านหน่อย” หลินชิงเหอพูด
“ก็ไม่ได้ดีอะไรนักหรอก” ยายเฒ่าเจียงพูด
พูดกันอยู่สักพัก ยายเฒ่าเจียงก็พูดด้วยน้ำเสียงติดจะเกรงใจ “ชิงเหอ พรุ่งนี้เธอว่างไหม?”
“หลานชายของคุณป้าจะมาแล้วเหรอคะ?” หลินชิงเหอถาม
“ภรรยาลูกชายของป้าจะพามาพรุ่งนี้น่ะจ้ะ” ยายเฒ่าเจียงพูดยิ้ม ๆ
“ได้ค่ะ พามาได้เลย” หลินชิงเหอพยักหน้า
“ชั่วโมงเดียวก็พอแล้วจ้ะ อย่าทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยเลย” ยายเฒ่าเจียงพูด
หลินชิงเหอพยักหน้า ไม่ขัดเจตนาของยายเฒ่าเจียง
วันถัดมาเซวียเหม่ยลี่สะใภ้ของยายเฒ่าเจียงก็พาเจียงเกิงลูกชายของหล่อนมาที่นี่ สามีของเซวียเหม่ยลี่เป็นรองผู้ว่าการอยู่ที่สำนักงานเขตนี้ เป็นคนที่มีหน้ามีตา แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ไม่กล้าดูถูกหลินชิงเหอ
หล่อนได้ยินมาจากแม่สามีของหล่อนว่า ครอบครัวนี้ย้ายมาจากปักกิ่ง เป็นอาจารย์สอนภาษาต่างประเทศให้กับนักเรียนมหาวิทยาลัย อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ทั้งหมด เป็นคนมีการศึกษาสูงทีเดียว
หลินชิงเหอทดสอบระดับความสามารถของเจียงเกิงสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดออกมาตามตรง “เธออ่อนแค่วิชานี้จริง ๆ หรือว่าวิชาอื่นก็ไม่ได้เหมือนกัน?”
“อ่อนแค่วิชานี้ครับ” เจียงเกิงนิ่งอึ้งไปสักพัก เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีเท่าไหร่
เขาไม่ได้ภาษาอังกฤษก็จริง แต่วิชาอื่นเขายังพอไหว
“งั้นก็ไม่เป็นไร” หลินชิงเหอพยักหน้าและพูดขึ้น “พื้นฐานของเธออ่อนเกินไปแล้ว ฉันจะเริ่มจากการออกเสียงให้เธอก่อนรอบหนึ่ง ถ้าเธอมีเวลาว่างก็มาเรียนที่นี่ ฉันสามารถสอนให้เธอได้แค่หนึ่งชั่วโมงต่อวันเท่านั้น”
“ผมกลัวว่าคุณจะสอนผมไม่ดี” เจียงเกิงมองหล่อนด้วยสายตาสงสัย
“เด็กดื้อนี่ ลูกพูดอะไรออกมา?” เซวียเหม่ยลี่รีบพูด หลังจากนั้นก็พูดขอโทษหลินชิงเหอ “อาจารย์หลิน คุณอย่าถือสาเจ้าเด็กดื้อนี้เลยนะคะ เขาถูกพวกเราตามใจจนเสียคนแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...