บทที่ 636 ย้ายบ้าน
สวี่เชิ่งเฉียงนั่งอยู่ที่ร้านนี้สักพัก จากนั้นถึงกลับไป
เรื่องอย่างอื่นนั้นไม่ได้พูดอะไรมาก
โจวกุยหลายไปหาย่าของเขาก่อน ดูว่านางได้รับผลกระทบอะไรไหม แต่แล้วก็วางใจที่เห็นว่านางไม่ได้รับผลกระทบอะไร
ท่านแม่โจวพูด “เจ้าสามไปทำงานของหลานเถอะ ย่าไม่มีอะไรให้หลานต้องกังวลใจหรอกนะ ย่าปล่อยวางเรื่องทั้งหมดแล้ว”
ท่านพ่อโจวก็รู้แล้วเช่นกันว่าหลานนอกชายของตนออกมาแล้ว ถึงจะได้ยินมาจากภรรยาตนแล้วว่าการออกมารอบนี้ของเขาดูจะไม่เหมือนเดิมเล็กน้อย เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเช่นกัน
ถ้าเขารู้ความขึ้นก็ดีไป ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี เรื่องอะไรอื่นก็ไม่ต้องพูดให้มากความ
โจวกุยหลายมองย่าของตัวเอง เห็นนางดูปล่อยวางแบบนี้เขาเองก็รู้สึกวางใจเช่นกัน
ตอนนี้เขาว่างไม่มีงานอะไรแล้ว จึงไปเปิดร้านเกี๊ยวและเริ่มเปิดทำการ
มีลูกค้าพูดอย่างอดไม่ได้ว่า “ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ เห็นตอนนี้ร้านเกี๊ยวเดี๋ยวก็เปิดเดี๋ยวก็ปิด คุณทำธุรกิจเปิดตามใจตัวเองได้แบบนี้ได้เหรอครับ?”
“นั่นก็น่าจะเรียกว่าเปิดตามใจจริง ๆ นั่นแหละครับ ร้านเกี๊ยวของครอบครัวผมไม่ค่อยมีกำไร ตอนที่พักปิดร้านก็หางานทำจนไม่มีเวลาว่าง นั่นก็เลยทำให้ผมต้องปิดร้าน ตอนนี้ว่างก็เลยมาเปิดแล้ว พวกคุณอยากกินก็มาได้นะ” โจวกุยหลายพูด
“ยังไม่มีกำไรเหรอครับ ผมเห็นร้านเกี๊ยวคุณใช่ย่อยเลยนะ” ลูกค้าประจำคนนี้พูดยิ้ม ๆ
“ผมหมายถึงกว่าจะทำกำไรได้มันก็เสียแรงไปเยอะเท่านั้นแหละครับ แต่เทียบกับร้านด้านนอกแล้ว ร้านของเรากลับทำได้ดีกว่าเสียอย่างนั้น” โจวกุยหลายพูด
ลูกค้าประจำยิ้มแล้วพูด “ผมเอาชามหนึ่งละกันครับ”
โจวกุยหลายจึงเริ่มห่อเกี๊ยวในทันที ร้านเกี๊ยวก็ค่อย ๆ เริ่มกลับเข้าที่เข้าทาง ขอเพียงแค่ร้านนี้เปิดหรือว่าเป็นคนของตระกูลโจวมาทำ ลูกค้าประจำก็ยังจะมากินเกี๊ยวร้านนี้ไม่น้อยลง
ไม่กี่ปีมานี้มีร้านเกี๊ยวผุดขึ้นเยอะมาก แต่ในความคิดของเขา เกี๊ยวร้านอื่นก็ยังเทียบร้านเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจนถึงตอนนี้ แผนสร้างโรงงานเกี๊ยวของโจวกุยหลายคงไม่อยู่มาขนาดนี้หรอก
เพียงแต่ตามกำหนดการมันไม่สามารถทำได้เร็วถึงขนาดนั้น และในที่สุดหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็พามี่มี่กลับมาปักกิ่งใน 2 หรือ 3 วันต่อมา
พอกลับบ้านถึงปักกิ่ง สองสามีภรรยาก็วางแผนว่าจะซื้อที่ดินแล้ว
ที่ดินผืนนั้นไม่เล็กเลย พวกเขาต้องกู้ธนาคารมา จำนวนเงินย่อมมากเป็นธรรมดา ขนาดที่ทรัพย์สินของครอบครัวพวกเขาหลายแสนหยวนนั่น ก็ยังขาดอีกมากกว่าหนึ่งเท่าตัว
แต่โจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอไม่ได้กังวลเลยว่าจะไม่สามารถกู้เงินได้เช่นกัน
เพราะเงินเก็บของครอบครัวพวกเขา รวมทั้งทรัพย์สินในครอบครัว ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถกู้เงินมาได้อยู่แล้ว
และตอนนี้ก็เพิ่งจะปี 88 และที่นี่คือเมืองปักกิ่ง ไม่นิยมให้กู้เงินแบบไร้วงเงินอย่างนั้นแล้ว ที่ชนบทอาจจะยังมีอยู่ แต่ที่นี่ไม่มีแล้ว
เพราะว่ามีหลายกรณีที่ได้รับแล้วไม่นำกลับมาคืน วิธีกู้เงินแบบนั้นเป็นอีกหนึ่งแบบที่ล้าสมัยไปแล้วเช่นกัน
โจวชิงไป๋ต้องการที่ 80,000 ตารางเมตรทั้งหมด ที่นั่นค่อนข้างอยู่ไกลความเจริญ พอเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้รับการยืนยันว่าพวกเขาจะนำที่ดินผืนนี้ไปปลูกพืชปลอดสารพิษ ก็จัดการให้พวกเขาโดยทันที
ที่หนึ่งหมู่*ก็ 50,000 กว่าหยวนแล้ว ทั้งหมดมี 120 กว่าหมู่ ก็เกือบจะ 6 ล้านกว่าหยวน
(*หน่วยวัดขนาดพื้นที่ของจีน 1 หมู่เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร)
แม้ว่าจะเอาเงินฝากของครอบครัวโอนออกไปทั้งหมด แต่ก็ยังขาดเงินอีกหนึ่งก้อน แต่เงินจำนวนนั้นง่ายมากที่จะกู้มันมา
แต่ทรัพย์สินของครอบครัวก็ต้องถูกนำไปค้ำประกันกับเป็นการรับรอง
เพราะเห็นว่าครอบครัวของพวกเขามีทรัพย์สินมากถึงขนาดนี้ ก็รู้แล้วว่าพวกเขาต้องการเป็นผู้บุกเบิกการปลูกพืชผักปลอดสารพิษ ซึ่งยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งด้วยเช่นกัน
ดังนั้นพวกเขาจึงให้กู้แบบไม่คิดดอกเบี้ย แต่ต้องบวกเพิ่มอีกอย่างหนึ่งคือระยะเวลาที่ผ่อนจ่ายจะมีจำกัด ข้อกำหนดคือพวกเขาจะต้องสะสางหนี้ทั้งหมดภายในเวลาที่จำกัด ไม่อย่างนั้นที่ดินจะถูกยึดคืน
หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ย่อมไม่มีความคิดเห็นต่าง และที่ดินผืนนี้พวกเขาก็ได้มาด้วยวิธีเช่นนี้แล้ว
“แปดหมื่นตารางเมตร อีกทั้งยังอยู่นอกเมืองปักกิ่งอีกด้วย เรามีที่ดินแปดหมื่นตารางเมตรแล้วล่ะค่ะ” คนที่เคยเผชิญกับคลื่นลมแรง*อย่างหลินชิงเหอ หลังจากได้เอกสารรับรองมาไว้ในครอบครอง เธอก็รู้สึกตื้นตันไปหมด
*อุปมาว่า พบเจอความลำบากหรืออุปสรรคมามาก
โจวชิงไป๋ขับรถพาเธอกลับบ้าน พูดยิ้ม ๆ ว่า “พรุ่งนี้พวกเราควรต้องย้ายบ้านแล้ว”
พรุ่งนี้พวกเขาเลือกวันได้ดี เหมาะสมแก่การย้ายบ้านมากที่สุด ครอบครัวของพวกเขาจะได้ย้ายจากอะพาร์ตเมนต์ไปเรือนสี่ประสานอย่างเป็นทางการแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...