สรุปตอน บทที่ 695 ตอนพิเศษ 1-คนพวกนั้นกับสิ่งเหล่านั้น – จากเรื่อง ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม โดย Internet
ตอน บทที่ 695 ตอนพิเศษ 1-คนพวกนั้นกับสิ่งเหล่านั้น ของนิยายInternetเรื่องดัง ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 695 ตอนพิเศษ 1-คนพวกนั้นกับสิ่งเหล่านั้น
โจวอู่นีคลอดลูกชายของเจียงเหิงในเดือนกันยายน
ได้ข่าวว่าเด็กคนนั้นหนัก 7 ชั่งกว่า ทำให้โจวอู่นีเหนื่อยแทบแย่กว่าจะคลอดออกมาได้
ตอนที่โทรศัพท์ดังขึ้น หลินชิงเหอก็ดีใจมาก หลังจากถามเจียงเหิง จึงทราบว่าโจวอู่นีสบายดี เรียกแม่บ้านไปแล้ว ดังนั้นไม่น่ามีปัญหาอะไร
หลินชิงเหอบอกให้เจ้าสามไปเยี่ยมและเอาของบำรุงไปให้ รวมถึงเสื้อผ้าตัวเล็ก ๆ ที่โจวซื่อนีฝากมาให้ไปด้วย
หากเด็ก ๆ มีเสื้อผ้าพวกนี้จะได้ไม่ต้องไปซื้ออีก เด็กพวกนี้โตไวราวกับลมพัด มีเสื้อผ้าตัวเล็กตัวอื่น ๆ ให้ใส่จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินซื้ออีก
ถึงแม้หยวนหยวนของบ้านโจวซื่อนีจะเป็นเด็กผู้หญิง ส่วนบ้านโจวอู่นีได้ลูกชาย แต่ก็แลกกันใส่ได้
เจ้าสามไปอยู่ที่นั่นได้ 2 วันก็กลับมา และนำชุดกี่เพ้าที่เซวียเหม่ยลี่ซื้อมาฝากเธอกลับมาด้วย
หลินชิงเหอจึงโทรศัพท์หาเซวียเหม่ยลี่ “ตาถึงดีจริงนะจ๊ะ”
“ฉันตาถึงที่ไหนกันเล่า เธอหุ่นดี มีเสน่ห์ใส่แล้วเข้า จะใส่กี่เพ้าแบบไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ” เซวียเหม่ยลี่กล่าวยิ้ม ๆ
หลินชิงเหอหัวเราะและพูดเรื่องโจวอู่นีกับหล่อน เซวียเหม่ยลี่จึงเอ่ยบอก “ปีนี้คงไปทำงานไม่ได้แล้วล่ะ รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าคงดีขึ้น ถึงตอนนั้นลูกก็คงโตแล้ว หย่านมแล้วให้กินอาหารเหลวได้ ถ้าหล่อนอยากไปทำงานก็ให้ไปทำงานเถอะ”
เทียบกับแม่สามีของโจวอู่นีเองแล้ว แม่สามีรองอย่างเซวียเหม่ยลี่นี่สิถึงเหมือนแม่สามีจริง ๆ เพราะแม่สามีของหล่อนคิดแค่อยากเอาของกินดี ๆ จากบ้านเธอกลับไป
คุยกับเซวียเหม่ยลี่เสร็จแล้วเธอจึงโทรไปหาพี่สะใภ้สามโจว สองพี่น้องสะใภ้ก็คุยกันถึงลูกของโจวอู่นี
สะใภ้สามโจวถอนหายใจ “แต่งไปไกลขนาดนี้ อยากไปหายังต้องดูเวลาเลยจ้ะ”
ถึงแม้การที่ลูกสาวได้แต่งไปในเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ต้องเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ทว่าดีก็ส่วนหนึ่ง เสียแต่ว่าไม่สามารถไปเจอกันบ่อย ๆ ได้
ตอนนี้เป็นช่วงที่หน้าร้านยุ่งมาก พี่สามโจวต้องรับของ เหนื่อยสุด ๆ ส่วนหล่อนก็ต้องช่วยขายของ ลูก ๆ ต้องเรียนหนังสือ ไม่มีใครว่างเลย
หล่อนก็เลยแยกร่างไม่ได้ ต้องรอจนสิ้นปีอาจจะไปหาได้
หลินชิงเหอกล่าว “ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกค่ะ สบายดีกันหมด”
สะใภ้สามโจวยิ้ม และพูดเรื่องโจวลิ่วนี
เมื่อวานนี้โจวลิ่วนีได้กลับมา ในสภาพสะพายกระเป๋าพร้อมกับสวมรองเท้าส้นสูงทาปากแดงแจ๋
“หล่อนหาเงินก้อนได้แล้วเหรอคะ?” หลินชิงเหอเลิกคิ้วถาม
“หาเงินก้อนได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่แค่การแต่งตัวนั่นก็โดนคนนินทาไม่น้อยเลยล่ะ” สะใภ้สามโจวบอก
ถึงแม้ตอนนี้ใกล้จะเข้ายุค 90 แล้ว แต่ที่ที่เปิดกว้างมีแค่ตามเมืองใหญ่ ๆ ขณะที่ในอำเภอเล็ก ๆ และตามหมู่บ้านอื่น ๆ ยังหัวโบราณอยู่มาก
การที่หล่อนกลับมาในสภาพนี้ คนอื่นต้องนินทาลับหลังแน่นอนว่าไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว ไหนจะเรื่องที่หล่อนก่อไว้ในหมู่บ้านเมื่อก่อนนี้อีก คนอื่นพูดกันลับหลังไม่น้อยเลยว่าหล่อนออกไปทำอาชีพไม่ดีอะไรหรือเปล่า
พี่รองโจวก็โมโหโจวลิ่วนีมาก บอกให้หล่อนโยนรองเท้าส้นสูงทิ้งไป แล้วก็เช็ดปากด้วย แต่โจวลิ่วนีที่เดินอยู่แถวหน้าของแฟชั่นจะยอมได้อย่างไร?
แถมกลับไปครั้งนี้หล่อนเอาเงินให้บ้านสามีเก่าไปเป็นจำนวนมาก และขอลูกชายกลับมาจนได้
บ้านสามีเก่าหล่อนรับเงิน 10,000 หยวนที่โจวลิ่วนีให้ไป บวกกับเห็นว่าเดี๋ยวนี้โจวลิ่วนีได้ดีแล้ว จึงยกลูกชายคืนให้หล่อน
แต่โจวลิ่วนีเลี้ยงลูกไม่เป็น ชาติก่อนลูกชายหล่อนกลายเป็นนักเลงก็เพราะบ้านสามีเก่าเลี้ยงนี่แหละ ชาตินี้พี่น้องโจวข่ายโจวเฉวี่ยนโจวกุยหลายได้ดีกันหมด ทำไมลูกชายของหล่อนจะไม่ได้ดีบ้างล่ะ?
ตอนแรกหล่อนอยากเลี้ยงเอง ถึงจะเลี้ยงไม่เป็น แต่ให้ข้าวให้เงินก็น่าจะพอแล้วนี่
ตอนนี้หล่อนไม่ขาดแคลนเงินจริง ๆ
แต่พอได้ยินจากพ่อหล่อนว่าหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้เสร็จก็จะไปปังกิ่ง มันก็ทำให้โจวลิ่วนีคิดอะไรไม่อาจทราบได้ จัดการยัดเยียดลูกชายหล่อนให้กับผู้เป็นพ่อ
พร้อมกับให้เงินพ่อหล่อนไป 5,000 หยวน ฝากพาลูกชายหล่อนไปปักกิ่งด้วย
จนถึงตอนนี้หล่อนยังไม่รู้เลยว่าปัญหาเกิดจากตรงไหน ทำไมบ้านสี่ในชาตินี้ถึงต่างจากชาติก่อนมากขนาดนั้น แต่คนพวกนั้นกลับเป็นคนดีกันได้หมด ดังนั้นหากให้ลูกชายหล่อนไปปักกิ่งบ้างก็น่าจะกลับเป็นคนดีได้เหมือนกันใช่ไหม?
พี่รองโจวโมโหหล่อนมาก เขาแค่เล่าให้ฟัง ไม่เคยคิดจะพาหลานชายคนนี้ไปที่ปักกิ่งด้วย
หลินชิงเหอไม่ได้รู้เรื่องนี้จากสะใภ้สามโจว แต่เป็นพี่รองโจวเองที่โทรมาบอกในภายหลัง
พี่รองโจวอธิบายเรื่องนี้ด้วยเสียงอ่อย ๆ แต่ลูกเขยเก่าของเขาเลี้ยงหลานชายได้ไม่ดีจริง ๆ ลูกสาวของเขาเป็นแบบไหนเขาเองก็รู้ดี ขืนทิ้งหลานชายไว้ที่นี่อีกหน่อยเด็กคนนี้ต้องไร้อนาคตแน่ ๆ
พี่รองโจวจึงมีความคิดอยากพาเด็กชายไปด้วย
“งั้นก็พามาเลยค่ะ” หลินชิงเหอบอก
ที่เธอยอมก็เพราะเห็นแก่พี่รองโจว แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น
พี่รองโจวถึงโล่งอก พาหลานชายไปยังติดปัญหาเรื่องเรียนหนังสือ ต้องให้บ้านเจ้าสี่คอยช่วยอีก
โจวลิ่วนีไม่ใช่คนมีความรับผิดชอบ นิสัยเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว
ก่อนพี่รองโจวจะโทรศัพท์มาหล่อนก็จากหมู่บ้านไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปไหน คงจะไปหาเงินนั่นแหละ
หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูใบไม้ร่วงในชนบทเสร็จ พี่รองโจวก็หมดความอาลัยต่อหมู่บ้านนี้ จึงโทรไปที่ปักกิ่ง เพราะเขานั่งรถไปไม่ถูก ต้องให้เจ้าสามมาพาเขาไป
ในปีนั้นทั้งคู่ไม่ได้เสียชีวิตเพราะเรือล่ม เนื่องจากทั้งสองขึ้นเรือลำนั้นไม่ทัน เพราะเจ็บป่วยกะทันหันและซ่อนตัวอยู่ในบ้านหมอจีนชราคนหนึ่ง ก่อนจะออกเดินทางในอีกหนึ่งเดือนถัดมา
เฒ่าหวังไม่ได้บอกใคร หลายปีมานี้เขาไม่เคยเชื่อว่าลูกชายและลูกสะใภ้ของเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่หลายปีมานี้เขาเฝ้ารอมาตลอด รอให้พวกเขากลับมา แม้ว่าสภาพร่างกายไม่ดีก็ยังยื้อมาตลอด
แต่สุดท้ายก็รอไม่ไหวอีกต่อไป ที่เขียนพินัยกรรมเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่อง
ดักทางไม่ให้ลูกชายขัดแย้งกับลูกชายบุญธรรม
ลูกชายของเขา เขาก็รัก แต่หลายปีมานี้ถ้าลูกยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่เคยกลับมาเยี่ยมเขาเลย ก็นับว่าใจดำเกินไปจริง ๆ
เขายกมรดกทั้งหมดให้กับลูกชายบุญธรรมที่ดูแลเขาก่อนจะสิ้นชีวิต เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครสามารถพูดอะไรได้
แต่ลูกชายและลูกสะใภ้ของเฒ่าหวังไม่ยอม
ปี 2000 แล้ว เรือนสี่ประสานในปักกิ่งราคาเพิ่มขึ้นขนาดไหน? พวกเขาไม่ได้มีชีวิตที่ดีอยู่ที่ต่างประเทศนัก จะยอมยกให้โจวชิงไป๋แบบนี้ได้อย่างไรกัน?
เช่นนั้นจึงเกิดเป็นคดีฟ้องร้องกัน สุดท้ายคู่สามีภรรยาก็กลับไปต่างประเทศพร้อมกับลูกชายด้วยความอับอาย
มีพินัยกรรมของเฒ่าหวังอยู่ ต่อให้พวกเขาเป็นลูกแท้ ๆ ศาลก็ไม่ตัดสินยกมรดกของเฒ่าหวังให้พวกเขา
หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยทำหน้าที่เลี้ยงดูบุพการีเลย กลับเป็นลูกชายบุญธรรมอย่างโจวชิงไป๋ที่ดูแลเขามานานกว่า 10 ปี ให้เขาได้มีความสุขในบั้นปลายชีวิต และจากไปด้วยรอยยิ้มในที่สุด
ไม่ว่าจะด้วยหลักเหตุผลหรือด้วยหลักจริยธรรม ศาลก็ไม่ตัดสินให้สองสามีภรรยานั้นชนะ
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ก็ไม่ใช่คนใจดี บ้านโจวพัฒนามาถึงจุดนี้แล้ว แค่เรือนสี่ประสานหลังเดียวไม่ได้อยู่ในสายตาพวกเขาหรอก
แต่การที่พวกเขากลับมาปุบปับแล้วก็ทำศึกชิงมรดกเลย เรื่องนี้ก็ไม่เหลืออะไรให้พูดกันอีกเช่นกัน
ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวมีสุขภาพดีกว่าเฒ่าหวังอยู่นิดหน่อย
ทั้งสองมีชีวิตจนถึงปี 2002 ได้เห็นการพัฒนาก้าวหน้าของประเทศในวันนี้แล้วจึงได้จากไปด้วยรอยยิ้ม อายุมากกันแล้วจริง ๆ นับได้ว่าเป็นงานศพมงคล
ลูกหลานทุกคนต่างมาส่งทั้งสองในช่วงเวลาสุดท้าย
ในปีนี้โจวชิงไป๋จึงมีอารมณ์ไม่สู้ดีนัก แม้จะเข้าใจว่าพ่อแม่ตนแก่เฒ่ากันมากแล้ว แต่การที่พวกท่านจากไปแบบนี้เขาก็ยังสะเทือนใจมากอยู่ดี
หลินชิงเหอพาเขาออกจากบ้านในหนึ่งเดือนให้หลัง ไม่พาใครไปเลย สองสามีภรรยาออกท่องเที่ยวกันเอง
เที่ยวกันนานกว่าหนึ่งเดือนกว่าจะเดินทางกลับบ้าน
………………………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...