น้องชายสามตระกูลหลินรู้ว่าเธอยังตาบอดเพราะทิฐิอยู่ เขาก็ได้แต่ถอนหายใจและไม่พูดอะไร
ในเมื่อน้องชายมาถึงที่นี่แล้ว หลินชิงเหอก็เชิญเขาร่วมทานอาหารกลางวันโดยไม่ปล่อยให้เขาแขวนท้องกลับไป
อาหารกลางวันของวันนี้ช่างเรียบง่าย เป็นหมูตุ๋นกับวุ้นเส้น หมูสามชั้นหมักผัดกับผักดองและเห็ดหูหนู โดยมีอาหารจานหลักเป็นหมั่นโถวขาว
“พี่ครับ พี่ไม่จำเป็นต้องทำอาหารอร่อย ๆ เยอะขนาดนี้ก็ได้ ให้เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ทานเถอะครับ” น้องชายสามตระกูลหลินมองเห็นอาหารที่อยู่บนเตาถ่านแล้วก็รีบแย้ง แต่หลินชิงเหอยังคงยืนยันที่จะทำ
“ต่อให้นายไม่ได้อยู่ที่นี่เราก็ทานแบบนี้อยู่แล้ว ชีวิตของพี่สาวนายไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนแต่ยังไม่จนถึงขนาดนั้นหรอก ทำใจสบาย ๆ และกินไปซะ พี่สาวอย่างฉันเต็มใจจะทำให้นายกิน แต่คนอื่น ๆ ในตระกูลหลินน่ะอย่าหวังว่าจะได้กิน แล้วก็อย่าพูดเรื่องนี้เมื่อนายกลับบ้านไปแล้วล่ะ”
น้องชายสามตระกูลหลินหันไปทางเจ้าใหญ่ ซึ่งเจ้าใหญ่ก็ยืนยัน “เราทานกันแบบนี้จริง ๆ ครับ”
“อร่อย” เจ้ารองพยักหน้าเสริม
‘แน่สิว่ามันต้องอร่อย มีทั้งเนื้อ วุ้นเส้น หมูสามชั้นหมัก กับหมั่นโถวถึงขนาดนี้ มีอย่างไหนไม่ใช่ของดีบ้างล่ะ?’ น้องชายสามตระกูลหลินอุทานในใจ
แล้วชายหนุ่มก็กลับบ้านไปหลังจากทานอาหารกลางวันแสนอร่อยของบ้านพี่สาวเสร็จ
ตอนขามาเขารู้สึกเป็นกังวล แต่ตอนขากลับตอนนี้เขากลับโล่งใจมากกว่าเดิม ต่อให้ชีวิตของพี่สาวไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน มันคงไม่เลวร้ายนักหรอกเมื่อมีพี่เขยคนขยันอยู่กับบ้าน
“น้องชายสามของคุณเป็นคนดีนะ” โจวชิงไป๋เอ่ยขึ้น
“ในบรรดาคนทั้งหมดของตระกูลหลินแล้ว มีแค่เขาเท่านั้นแหละค่ะที่ไม่เลวร้าย” หลินชิงเหอตอบ
โจวชิงไป๋ทำเพียงมองกลับ “คุณก็เหมือนกัน”
หลินชิงเหอแย้งอยู่ในใจว่าเธอไม่ใช่คนตระกูลหลิน และเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ใช่คนดีอย่างที่เห็นด้วย
แต่เธอไม่ได้เอ่ยออกมา
ช่วงวันแรกของเทศกาลปีใหม่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว และบรรยากาศปีใหม่ก็เริ่มซา ในวันที่เจ็ดของเทศกาลปีใหม่นี่เอง โจวเสี่ยวเม่ยก็ได้กลับเข้าไปในอำเภอ เพราะว่าในวันที่แปดหล่อนต้องเริ่มทำงานแล้ว
หลินชิงเหอให้โจวชิงไป๋อยู่บ้านคอยดูแลเด็ก ๆ ขณะที่เธอปั่นจักรยานพาโจวเสี่ยวเม่ยไปส่งในตัวอำเภอ เหตุผลหลักก็คือเธอไม่ได้ออกจากบ้านมานานมากแล้ว เธอต้องมีเหตุผลในการเอาของบางอย่างออกมาด้วยเหรอ?
หญิงสาวสลับกันปั่นจักรยานกับโจวเสี่ยวเม่ย มันคงเหนื่อยเกินไปสำหรับเธอหากจะเป็นฝ่ายปั่นจักรยานเพียงคนเดียวตลอดทาง
ครั้งนี้โจวเสี่ยวเม่ยกลับเข้าไปในอำเภอสะดวกกว่าแต่ก่อนมาก หล่อนดูมีความสุขไม่น้อยขณะโบกมืออำลาหลินชิงเหอ
ในตอนนี้เอง เพื่อนร่วมงานของหล่อนก็เข้ามาถาม “นั่นใครน่ะ? ญาติของเธอในเมืองนี้เหรอ?”
“พี่สะใภ้สี่ของฉันเองน่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยตอบ
“พี่สะใภ้สี่ของเธอสวยจังเลย ฉันนึกว่าหล่อนเป็นสาวเมืองกรุงเสียอีก”
“ถึงพี่สะใภ้สี่ของฉันจะไม่ได้อยู่ในเมือง แต่หล่อนก็สวยที่สุดในหมู่บ้านของฉันแล้วล่ะ พี่ชายสี่ของฉันช่างโชคดีจริง ๆ” โจวเสี่ยวเม่ยพูด
เพื่อนร่วมงานของหล่อนยิ้ม ก่อนที่จะย่นคิ้ว “แล้วเธอจะวางแผนแต่งงานเมื่อไหร่ล่ะ?”
“ฉันกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อจะบอกเลิกเขานี่เแหละ ฉันทนไม่ได้จริง ๆ หากต้องเกาะครอบครัวเขากิน พื้นหลังครอบครัวฉันเป็นชาวชนบทน่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยตอบขณะข่มกลั้นอารมณ์
พี่สะใภ้สี่สอนหล่อนแบบนี้ ว่าหากเป็นเธอก็จะอธิบายไปแบบนี้เหมือนกัน
เมื่อหล่อนบอกไปแบบนี้ มันก็ทำให้เพื่อนร่วมงานของหล่อนรู้สึกนับถือ “เป็นคนชนบทแล้วมันผิดตรงไหนล่ะ? อยู่ชนบทไม่เห็นต้องกังวลเรื่องอาหารการกินอะไรเลย!”
“ช่างเถอะ ฉันทนไม่ไหวกับการเพิ่มสถานะทางสังคมให้ตัวเองแล้ว ช่วยนำปิ่นอันนี้ไปคืนเขาให้ฉันหน่อยนะ” โจวเสี่ยวเม่ยขอร้องขณะหยิบปิ่นออกมา
“ปิ่นอันนี้สวยมากเลย” เพื่อนของหล่อนเอ่ย
“ในเมื่อเธอเห็นว่ามันสวย ก็เอาไปให้เขาแล้วให้เขาเอาปิ่นนี้มอบให้เธอแทนเถอะ” โจวเสี่ยวเม่ยเอ่ยจบแล้วก็กลับไปที่หอพักของเธอ
อีกฝ่ายได้ยินก็หน้าแดง จากนั้นจึงกระซิบกับตัวเอง “ฉันไม่ได้แย่งเขามาจากเธอนะ เป็นเธอเองนั่นแหละที่ไม่อยากได้เขา”
ไม่ถึงสามวันหลังจากนั้น โจวเสี่ยวเม่ยก็เห็นผู้ชายคนเก่าของหล่อนกำลังพาเพื่อนร่วมงานคนนั้นไปทานอาหารเย็นด้วยกัน ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันไม่น้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...