ไม่นานนักก็เข้าสู่เดือนกันยายนที่เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงจะเริ่มต้นตอนปลายเดือนนี้และดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเดือนพฤศจิกายน
เรื่องนี้เป็นโครงการใหญ่มาก เท่ากับการใช้แรงงานในการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนถึงสามเท่าตัวเลยทีเดียว เป็นดังนี้แล้วก็เพียงพอที่จะเข้าใจได้เลยว่าการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นเรื่องลำบากยากเข็ญขนาดไหน
ถึงอย่างนั้นหลินชิงเหอก็ไม่ยอมทำงานในไร่นา
นับตั้งแต่การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงในปลายเดือนกันยายน หลินชิงเหอก็ทำอาหารกลางวันไปส่งให้สามีที่แปลงนาทุกวัน เพราะเธอรู้สึกเห็นใจโจวชิงไป๋ที่ต้องแบกรับภาระหนักนอกบ้าน ขณะที่เธอทำงานบ้านทั้งหมดที่บ้าน
เธอจึงทำงานทุกอย่างที่บ้าน แม้แต่เล้าหมูก็ถูกทำความสะอาดก่อนที่สามีจะกลับมาถึงบ้าน โจวชิงไป๋ที่ทำงานหนักจึงไม่ต้องเก็บกวาดมูลหมูและมูลไก่เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว
ส่วนเรื่องอาหารกลางวัน หลินชิงเหอก็ทุ่มเทความคิดสร้างสรรค์ทั้งหมดลงไป
เป็นต้นว่า ซาลาเปายักษ์ หมั่นโถวกับหมูทอด หรือไม่ก็หมั่นโถวข้าวโพดกับหมูตุ๋น
ที่สำคัญคืออาหารทุกมื้อจะต้องมีผักในปริมาณมาก อย่างเช่น ซุปมะเขือเทศและซุปถั่วแขก
เธอนำอาหารกลางวันทั้งหมดไปให้โจวชิงไป๋ด้วยการปั่นจักรยานไป หญิงสาวไม่สนใจว่าบ้านตระกูลโจวจะว่าอย่างไร แม้ว่าสะใภ้ใหญ่จะเสนอตัวให้ความช่วยเหลือ หลินชิงเหอก็ปฏิเสธไปอย่างไม่ลังเล
ทุกครอบครัวมีหน้าที่ของตัวเองต้องทำ อย่าเหมารวมกัน เป็นเช่นนี้แล้วจะไม่มีใครถูกว่ากล่าวได้
ใช่แล้ว หลินชิงเหอยังเคืองเรื่องที่ท่านแม่โจวเข้ามายุ่งเรื่องในครอบครัวของเธอ หญิงสาวไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องเป็นฝ่ายทรมานใจ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะไม่ดูแลคนครอบครัวตระกูลโจวเสีย
ในคราวเก็บเกี่ยวช่วงฤดูร้อนนี้ เธอได้ส่งถั่วเขียวต้มน้ำตาลหรือของบางอย่างให้ครอบครัวตระกูลโจว แต่พอเป็นการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ ทางบ้านนั้นกลับไม่ได้รับของกินอะไรจากเธอเลยแม้แต่นิดเดียว หลินชิงเหอรู้แน่ว่าพวกเขาอาจไม่พอใจ แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยล่ะ?
หญิงสาวมีความคิดที่แสดงออกอย่างเห็นชัดว่าเธอเป็นคนมีสิทธิ์ในเรื่องทุกอย่างของครอบครัวเธอ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้ามายุ่ง ต่อให้ฝ่ายนั้นจะเป็นแม่สามีอย่างท่านแม่โจวก็ตาม ถึงนางจะหวังดีแต่นางก็ไม่ควรเข้ามายุ่ง
เธออาจจะดูทำเกินกว่าเหตุ แต่ตัวเธอก็เป็นคนแบบนี้แหละ
โจวชิงไป๋รู้สึกถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนเช่นกัน ขณะที่เขาทานถั่วเขียวต้มน้ำตาลนั้น เขาก็แอบชำเลืองมองภรรยาไปด้วย
หลินชิงเหอรู้สึกตัวจึงหรี่ตามองเขา “คุณมีอะไรจะพูดหรือเปล่าคะ?”
ก่อนที่โจวชิงไป๋จะมีโอกาสได้พูดออกมา เจ้าใหญ่ก็พูดแทนพ่อของเขาเสียก่อน “แม่ครับ แม่อยากจะส่งของอะไรไปให้คุณปู่คุณย่าไหมครับ?”
“ถ้าทางบ้านคุณปู่คุณย่าอยากจะกิน พวกเขาก็มีถั่วเขียวให้ต้มกินอยู่นี่? ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ต้มถั่วเขียวก็หมายความว่าพวกเขาไม่อยากกิน” หลินชิงเหอตอบเสียงเรียบ
“ถ้างั้นป้าสะใภ้รองต้องว่าแม่แน่เลยครับ” เจ้ารองแสดงความเห็น
“แล้วป้าจะว่าอะไรแม่ได้ล่ะ! ถ้าป้ามีความกล้าพอจะมาพูดต่อหน้าแม่ แม่ก็จะให้บทเรียนดี ๆ ไปสักบท” หลินชิงเหอแค่นเสียง
โจวชิงไป๋รู้สึกอับจนขึ้นมาทันที
“รีบกินแล้วรีบนอนพักกันซะนะ” หลินชิงเหอออกคำสั่ง
โจวชิงไป๋เคี้ยวอาหารของตัวเอง เช่นเดียวกับเจ้าใหญ่และเจ้ารอง หลังทานอาหารเสร็จแล้วพวกเขาก็นอนงีบอยู่บนถุงกระสอบพลาสติก
พวกเขามีเวลาพักจำกัด แต่ก็จะพยายามงีบหลับให้ได้มากเท่าที่จะทำได้
หลินชิงเหอพาเจ้าสามปั่นจักรยานกลับบ้าน แล้วเธอก็เจอสะใภ้สามที่กำลังเดินทางกลับบ้านเหมือนกัน
“อย่าขุ่นเคืองใจนานนักเลยนะ” สะใภ้สามแนะนำ
หลินชิงเหอหัวเราะ “ฉันขุ่นเคืองใจเรื่องอะไรเหรอคะ? ทุกคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง ก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนี้กันไม่ใช่เหรอคะ?”
“เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน ตอนนี้ก็คือตอนนี้ ตอนนี้น้องเขยสี่เองก็อยู่ที่บ้าน เธอทำตัวแบบนี้อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจนะ” สะใภ้สามบอก
หลินชิงเหอไม่ตอบอะไรทั้งที่ในใจบ่นพึมพำ ‘อย่างน้อยฉันจะทำให้โจวชิงไป๋ป่วยใจได้อย่างไรล่ะ?’
แต่หญิงสาวก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก มันมีช่องว่างระหว่างวัยอยู่ บางเรื่องพูดไปก็ไม่เข้าใจกันหรอก
เธอแยกตัวจากสะใภ้สามและกลับมาถึงบ้าน จากนั้นก็พาเจ้าสามเดินเข้าไปในบ้าน ในตอนนี้เองก็มีชายหนุ่มคนเมืองมีการศึกษาคนหนึ่งแวะมาหา “พี่สะใภ้สี่โจว ผมขอยืมจักรยานหน่อยได้ไหมครับ? ผมกำลังจะไปที่แปลงนา พี่ชายสี่โจวกับเด็ก ๆ จะได้ขี่กลับมาในตอนเย็นได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...