พอม้าเข้ามาใกล้ ซูเสี่ยวลู่ก็โบกมือยิ้มทักทายว่า “คุณชายหลี่มาได้อย่างไรหรือ? กินกระต่ายย่างหรือไม่?”
หลี่ขั้วกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงไปหาซูเสี่ยวลู่ เขาสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ ก่อนจะยิ้มสุภาพแล้วกล่าวว่า “แม่นางจ้าว ข้าขอโทษ มารดาของข้าเป็นห่วงข้าจนเกินเหตุ ทำให้ท่านลำบากใจแล้ว”
ซูเสี่ยวลู่ยิ้มตาหยี นางส่ายหน้าช้า ๆ อย่างไม่ใส่ใจ “คุณชายหลี่ถ่อมตัว้กินไปเลย มารดาของท่านก็แค่ห่วงใยท่าน ข้าไม่ได้ลำบากอะไรเลย ตอนที่อยู่ในจวนตระกูลหลี่ ข้าก็สบายใจดี”
“เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ช่างมันเถิด”
ซูเสี่ยวลู่รู้สึกว่าหลี่ขั้วดูแปลกไปเล็กน้อย เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องลำบากมาถึงที่นี่เลย
แต่ที่หลี่ขั้วมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองแสดงว่าเขาเห็นว่านางเป็นมิตรสหายโดยแท้ ซูเสี่ยวลู่ก็อดดีใจไม่ได้
นางยื่นขากระต่ายออกไป “ท่านจะกินหรือไม่?”
หลี่ขั้วเห็นซูเสี่ยวลู่มีท่าทีสบาย ๆ หากเขายังพูดมากเกินไปก็จะดูเก้อเขินจึงรับขากระต่ายมา แล้วนั่งลงข้างกองไฟโดยไม่พูดอะไรอีก
หลี่ขั้วมองสัตว์ประหลาดที่ดูคล้ายหมาแต่ก็ไม่ใช่ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “แม่นางจ้าวสัตว์ตัวนี้คืออะไรหรือ? ข้ารู้สึกว่าข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย มันดำปี๋ขนาดนี้ หากเป็นสุนัขก็หายากนักที่จะมีสีดำสนิทแบบนี้ ขาสี่ข้างของมันทั้งใหญ่ทั้งยาว ดูจากท่าทางน่าจะโตได้อีกไม่น้อย”
เจ้ากุ้งผีผีจ้องหลี่ขั้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าหนีอย่างไม่ใยดี
ซูเสี่ยวลู่พลันได้ยินเสียงน่ารักออดอ้อนของเจ้ากุ้งผีผีในห้วงจิตว่า “เสี่ยวลู่ คนผู้นี้ช่างไร้มารยาทนัก เขากล้าดียังไงถึงมาเรียกข้าว่าสัตว์เลี้ยง ข้าน่ะเป็นสัตว์พิทักษ์นะ เขาเรียกแบบนี้เหมือนเป็นดูถูกข้าชัด ๆ!”
เจ้ากุ้งผีผีไม่พอใจสุด ๆ มันไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าหลี่ขั้วและไม่คิดจะเสวนากับเขาด้วย
ซูเสี่ยวลู่ลูบหัวเจ้ากุ้งผีผีเบา ๆ ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยกับหลี่ขั้วว่า “มันชื่อเจ้ากุ้งผีผี เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของข้า”
คำแนะนำของซูเสี่ยวลู่เพียงพอที่ทำให้หลี่ขั้วเข้าใจได้ทันทีว่า นางให้ความสำคัญกับเจ้ากุ้งผีผีเมากเพียงใด
เจ้ากุ้งผีผีอารมณ์ดีขึ้นในทันใด
หลี่ขั้วมองดูการหยอกล้อกันระหว่างเจ้ากุ้งผีผีกับซูเสี่ยวลู่ สีหน้าก็เผยความอิจฉาออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เขาเม้มริมฝีปากเบา ๆ แล้วกล่าวเสียงแผ่วว่า “แม่นางจ้าว ท่านช่างงดงามจริง ๆ ข้าไม่เคยพบสตรีใดที่เหมือนท่านมาก่อนเลย”
หลี่ขั้วจ้องมองซูเสี่ยวลู่ ดวงตาของเขาเผยความรักใคร่อย่างห้ามไม่อยู่ เขาไม่เคยพบสตรีเช่นนี้มาก่อน และคงจะไม่มีวันได้พบอีก
บางทีอาจเป็นเพราะความรู้สึกที่เขาแสดงออกมันชัดเจนเกินไป ซูเสี่ยวลู่จึงเข้าใจขึ้นมาบ้าง นางยิ้มบาง ๆ ให้เขา แล้วมองไปยังทะเลสาบพิสดารด้านหน้า ก่อนจะกล่าวว่า “คุณชายหลี่ ที่ท่านคิดเช่นนั้นก็เพราะโลกนี้มีกรอบกฎเกณฑ์มากมายเกินไปสำหรับสตรี หากชายหญิงเสมอภาคกันจริง ๆ สตรีเช่นข้าก็คงมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน”
“ไม่ว่าจะข้าหรือสตรีใด ๆ ล้วนเป็นหนึ่งเดียวในโลก เพราะทุกคนต่างก็เป็นดวงดาวที่เปล่งประกายในแบบของตนเอง”
ซูเสี่ยวลู่รู้สึกว่าความรู้สึกดีของหลี่ขั้วที่มีต่อนางมันช่างไม่มีเหตุผลเสียจริง ในสายตานางหลี่ขั้วก็เป็นแค่ชายหนุ่มที่เติบโตในโลกอันแสนสุข ไม่เคยเผชิญโลกภายนอก เป็นคนที่บริสุทธิ์ อบอุ่น และอ่อนโยน
ส่วนซูเสี่ยวลู่นั้นเติบโตมากับการออกเดินทางฝึกฝนกับอาจารย์มาหลายปี อาจารย์ทั้งสองเป็นคนอิสระไม่ยึดติด นางจึงซึมซับนิสัยนั้นมาจนกลายเป็นตัวของตัวเอง

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา