เปิ่นเทียนมองตามร่างของซูเสี่ยวลู่ที่จากไปด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนจะหมุนกายกลับเข้าห้องเซน
ซูเสี่ยวลู่เดินมายังห้องโถงใหญ่สำหรับไหว้พระ ภายในห้องโถงมีพระพุทธรูปมากมายเรียงรายอยู่ นางไม่คุ้นเคยกับพระพุทธรูปเหล่านี้ จึงไม่สามารถบอกได้ว่าแต่ละองค์คือองค์ใด
เหล่าผู้แสวงบุญจำนวนมากคุกเข่าบนเบาะรองอย่างศรัทธา เอ่ยสวดมนต์ออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา ขณะที่ก้มศีรษะลงกราบพื้นเบื้องหน้า ศีรษะกระทบพื้นดัง ตึง ตึง ตึง’ สร้างเสียงกังวานในความสงบของโถงใหญ่
ในกลุ่มผู้คนเหล่านั้น หวังฮุ่ยหลานก็กำลังขอเครื่องรางป้องกันภัยเช่นกันกับคนอื่น ๆ นางคุกเข่าบนเบาะรอง มือทั้งสองจับเครื่องรางไว้แน่น ขณะที่พระภิกษุซึ่งสวมจีวรเดินรอบตัวเหล่าผู้แสวงบุญ มือหนึ่งบิดลูกประคำ อีกมือหนึ่งถือคัมภีร์ ขณะสวดพระสูตรด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ซูเสี่ยวลู่หาที่นั่งในมุมหนึ่งของห้องโถง นางเลือกที่จะนั่งรออย่างสงบ
ทันใดนั้นก็มีเสียงโกลาหลดังขึ้นจากด้านนอก นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง
ผู้คนจำนวนมากพากันออกไปมุงดูความวุ่นวายภายนอก ไม่นานก็มีบางคนกลับมา พร้อมเสียงพูดคุยเบาๆ คล้ายกำลังถกเถียงอะไรบางอย่าง
ซูเสี่ยวลู่แอบได้ยินอยู่สองสามประโยคว่า
“นางผู้นั้นช่างน่ายกย่องยิ่งนัก แบกบุตรชายไว้บนหลัง กราบศีรษะสามครั้งทุกหนึ่งก้าวเดินขึ้นมา ว่ากันว่าเพราะนางได้ยินว่าที่วัดชิงเหลียนศักดิ์สิทธิ์ จึงมาขอพรพระพุทธองค์เพื่อรักษาโรคประหลาดของบุตรชาย”
“ใช่เลย ข้าเห็นด้วยตาตนเองว่านางคุกเข่ากราบจนหน้าผากบวมเป่งไปหมด”
เสียงกระซิบกระซาบเช่นนี้ลอยมาให้ได้ยินไม่ขาดสาย ซูเสี่ยวลู่ฟังอยู่ครู่หนึ่งก็เกิดความสงสัยขึ้นมา นางเหลือบมองไปทางหวังฮุ่ยหลาน เห็นว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเสร็จ จึงลุกออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อออกจากโถงใหญ่ ซูเสี่ยวลู่ก็เห็นหญิงคนหนึ่งแบกเด็กชายไว้บนหลัง นางเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งก็จะกราบศีรษะสามครั้ง ทำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อมุ่งหน้ามายังโถงใหญ่
มีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยยืนล้อมรอบนาง เฝ้ามองดูนางแบกเด็กชายไว้บนหลัง ทว่าสตรีนางนั้นหาได้ไม่สนใจสายตาหรือคำพูดของผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย เพียงเดินก้าวไปทีละก้าวเพื่อเข้าใกล้เป้าหมายเรื่อย ๆ
มีสามเณรน้อยพนมมือทั้งสิบนิ้วพร้อมเอ่ยว่า “อามิตาภพุทธ” ทุกครั้งที่หญิงผู้นั้นก้าวเดินไปข้างหน้า สามเณรก็ก้าวตามไปหนึ่งก้าว และเมื่อใดที่นางก้มลงกราบศีรษะถึงพื้น สามเณรก็เอ่ย “อามิตาภพุทธ” ตามทุกครั้ง
สตรีผู้นั้นเดินต่อเนื่องมาจนถึงโถงใหญ่ นางคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโถง นางพนมมือทั้งสองข้าง ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา และกล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า
“พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ศิษย์ขอวิงวอนพระองค์โปรดช่วยชีวิตบุตรชายของข้าพเจ้าด้วยเถิด ขอพระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ศิษย์ยินดีพลีชีพของตนเพื่อแลกกับชีวิตบุตรชาย!”
สิ้นคำพูดนางก็ก้มกราบลงกับพื้น เสียงหน้าผากกระทบพื้นดัง "ตึง ตึง ตึง" ทำให้ผู้ที่อยู่รอบข้างต่างพากันสะเทือนใจและรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
เด็กชายที่อยู่บนหลังของนางเองก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง เขาเงยหน้าขึ้นมองพระพุทธรูปทองคำเบื้องหน้าด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวัง
สามเณรน้อยเดินเข้ามาข้างหน้า พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยเมตตาว่า‘อามิตาภพุทธ’ จากนั้นจึงหันไปพูดกับสตรีผู้นั้นว่า “โยม โปรดลุกขึ้นก่อน เชิญนั่งลงตรงนี้แล้วเล่าให้ฟังว่าลูกชายของโยมป่วยเป็นอะไร และบ้านโยมอยู่ที่ใด?”
สตรีผู้นั้นปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้น ก่อนกล่าวกับสามเณรน้อยว่า


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา