ทะลุมิติทั้งครอบครัว นิยาย บท 109

ครั้งนี้ เมื่อตะโกนบอกให้หยุด ทุกคนก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นมา ในที่สุดซ่งฝูเซิงก็บอกให้ทุกคนหยุดพัก พวกเขาสามารถพักผ่อนได้ แต่ว่าแต่ละคนก็ยังรู้สึกกังวลใจไม่น้อย

แท้จริงแล้วพวกเขาไม่อยากหยุดพักผ่อน

ไม่มีน้ำแล้ว ควรมุ่งหน้าเดินต่อไป เดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ รีบออกไปจากพื้นที่แห้งแล้งแห่งนี้ ถึงจะมีความหวังไม่ใช่หรือ?

แต่พวกเขาก็เดินกันไม่ไหวแล้ว

แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากที่พวกเขานำรถเข็นจอดเสร็จแล้วก็นั่งหมดเรี่ยวแรงลงกับพื้น โดยที่ไม่ได้ปลดเอาสัมภาระกับอุปกรณ์ทำอาหารออกมา

มีชายหลายคนเอาที่คลุมหัวออก ถึงแม้มันจะช่วยคลุมป้องกันยุงกัดไม่ให้ป่วย แต่ก็ทำให้รู้สึกหิวกระหายเกือบตายได้เช่นกัน

ทุกคนต่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิต

ในเวลานี้เองที่มีคนแสดงบทบาทของผู้นำออกมา จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาสามารถเป็นผู้นำได้ เมื่อประสบปัญหาก็ไม่บ่น ไม่ยอมแพ้ คอยคิดหาวิธีเพื่อที่จะแก้ไขปัญหา

ซ่งหลี่เจิ้งไม่รู้ไปเอาผ้าสีแดงทั้งหมดมาจากไหน เขาให้เกาถูฮู่หาเนื้อวัวชิ้นที่ดีที่สุดมา

เขาวางเนื้อวัวลงบนผ้าสีแดงที่ปูบนพื้น

แล้วให้ลูกชายสองคนพยุงเขา เขากัดฟันทนความเจ็บปวดตรงกระดูกก้นกบและคุกเข่ายืดตัวตรงลงถัดจากผ้าสีแดง

หลังจากที่เขาคุกเข่าเสร็จ เขาก็จ้องมองมือของตนเอง เขาเอามือเช็ดตามร่างกายจนคิดว่าสะอาดแล้ว เขาพนมมือขึ้นพร้อมกับกล่าวเสียงดัง

“ฮ่องเต้ห้าพระองค์และมังกรทั้งห้า สอดแสงส่องลงมาพร้อมสายลมพัดผ่าน…

…กระจายความชุ่มชื้นรอบทิศทาง คอยช่วยเหลือเทพแห่งสายฟ้า…

…สายน้ำจงไหลมารวมตัวกันทั่วทุกทิศ…

สายน้ำรวมตัวมากสุด มากสุด…อันนั้น?”

ช่วงจังหวะพอดีกับที่ซ่งฝูเซิงกำลังควานหาถังเปล่าทั้งหมดที่อยู่บนรถเข็นบ้านตนเอง รวมทั้งถังน้ำมันถั่วเหลืองที่ถูกใช้หมดไปนานแล้ว เขาวางมันลงบนรถเข็นเพื่อเตรียมความพร้อม

ซ่งฝูเซิงคาดไม่ถึง เพียงแค่เขาละสายตาไปพักเดียว ทุกคนที่ไร้เรี่ยวแรงก็เริ่มวิงวอนร้องขอฝนจากสวรรค์กัน

ซ่งฝูเซิงสบตากับซ่งหลี่เจิ้งที่นั่งคุกเข่ากับพื้นเพื่อขอฝน “…”

ซ่งหลี่เจิ้งพูดออกมา “ฝูเซิง ทำอย่างไรดี ข้าลืมหลายท่อนประโยคสุดท้ายของการขอฝน ท่านผู้เฒ่าที่เคยทำพิธีขอฝนให้กับหมู่บ้านของพวกเราก็ไม่ได้ตามมาด้วย จะขออย่างนี้ ปลายบทท้ายก็ไม่มีไม่ได้ สวรรค์คงไม่สามารถช่วยเหลือได้ เจ้าเป็นบัณฑิต ช่วยเติมสักสองประโยคให้หน่อยสิ อย่างน้อยก็ให้มีบทกล่าวตอนท้าย”

ซ่งฝูเซิง “มีกฎบัญชามา จงรีบทำตามคำบัญชาในทันที”

ซ่งหลี่เจิ้งแววตาเป็นประกายขึ้นทันที เขาเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “มีประโยคนี้ มีประโยคนี้!”

ซ่งฝูเซิงที่แต่งประโยคมั่วๆ ขึ้นมาเองถึงกับอึ้งอยู่กับที่ “…” เขาแค่พูดเรื่อยเปื่อย มันมีจริงหรือนี่

หลังจากนั้นซ่งหลี่เจิ้งก็ไม่สนใจซ่งฝูเซิงอีกแล้ว เขาคุกเข่าบนพื้นและกางมือทั้งสองออกพร้อมกับเอ่ยหลายรอบ ฮ่องเต้ห้าพระองค์และมังกรทั้งห้า ท้ายสุดก็ตามด้วย มีกฎบัญชามา จงรีบทำตามคำบัญชาในทันที

พวกหญิงชรารู้สึกว่าการพูดอ้อนวอนที่ออกมาจากปากของซ่งหลี่เจิ้ง ดูเป็นพิธีการขอฝนอย่างเป็นทางการ แต่คำพูดเกือบครึ่งที่พึมพำออกมากลับไม่ชัดเจน ไม่ได้สวดออกมาทั้งหมด

ดังนั้นหญิงชราทั้งหลาย โดยมีท่านย่าหม่าเป็นคนนำจึงพากันพนมมือคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมเอ่ยขึ้น “เด็กน้อยร้องไห้คร่ำครวญ หว่านเมล็ดพันธุ์ต้นกล้า ไม่ปลูกไม่ได้ หวังว่าสวรรค์จะประทานฝนตกหนักลงมา พร้อมกับลมพายุที่มารวมตัวกัน”

เพียงชั่วพริบตาเดียว พวกผู้หญิง คนเฒ่าคนแก่ เด็ก ก็ไม่ทำอะไรกันแล้ว พวกเขาต่างคุกเข่ากราบไหว้วิงวอนขอฝนกัน

ซ่งฝูเซิงอาศัยจังหวะช่วงชุลมุนหาเถียนสี่ฟาจนพบ เขาบอกให้พี่เขยกับซื่อจ้วงคอยเฝ้าดูแลอยู่ที่นี่ อย่าให้ผู้ลี้ภัยที่ตามมาทีหลังเข้ามาแย่งชิงสิ่งของของพวกเรา ส่วนเขาจะพาคนแบ่งเป็นกลุ่มเดินออกไปหาแหล่งน้ำที่ไกลออกไปหน่อย

หากมีก็ดีน่ะสิ ใต้ดินจะมีน้ำหรือไม่ เป็นเรื่องที่พูดยาก

เถียนสี่ฟารับปากแล้ว หลังจากที่รับปากเขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย

เพราะเขาพบว่าน้องสามพาผู้ช่วยออกไปหาน้ำนั้น คนทั้งหมดดูเหมือนเป็นแบบเดียวกับท่านลุงใหญ่

เช่น แข้งขาไม่ดี ร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรง เดินไปไกลหน่อยก็หายใจเหนื่อยหอบ สรุปคือ อายุมาก อ่อนแอ ร่างกายไม่แข็งแรง

ส่วนเขา ซื่อจ้วง พี่ใหญ่ พี่รอง พี่น้องตระกูลเกา หวังจงอวี้ กัวคนโต เป็นต้น ชายฉกรรจ์เช่นนี้กลับไม่ถูกเรียกตัวไปช่วยด้วยแม้เพียงแค่คนเดียว

เถียนสี่ฟากังวลใจมาก เขาพาคนเหล่านี้ออกไปหาน้ำได้อย่างไร?

ซ่งฝูเซิงคิดในใจ พาคนพวกนี้ออกไปด้วยเขาถึงจะสะดวกในการหาน้ำ ต้องทิ้งพวกคนสมองดีไว้ที่นี่ มิเช่นนั้นเขาจะหาคำพูดโกหกได้ยากนัก

เฉียนหมี่โซ่วจับชายเสื้อของซ่งฝูหลิงไว้แน่น “ไม่เอา พี่สาว ให้ท่านลุงไปเอง มิเช่นนั้นข้าก็จะไปพร้อมกับพวกท่านด้วย”

ซ่งฝูหลิงปลอบใจเฉียนหมี่โซ่ว “เจ้ามีหน้าที่ที่ต้องอยู่ที่นี่ หมี่โซ่ว เจ้ารู้ไหม? ต้องเป็นเด็กที่โตขนาดเจ้าถึงจะขอน้ำได้ผล ดังนั้นเจ้าจงคุกเข่ากับพื้นวิงวอนต่อสวรรค์ช่วยให้พี่สาวหาน้ำเจอ เชื่อข้าเถอะ พวกเราจะหาน้ำเจอหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

เฉียนหมี่โซ่วคุกเข่าลงกับพื้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ตกลง แต่จะวิงวอนอย่างไร? พวกเขาพูดตั้งหลายประโยค ข้าจำไม่ได้”

ซ่งฝูหลิงเอ่ย “เจ้าก็พูด เซียวจิ้งเถิง[1]รีบมา เซียวจิ้งเถิงรีบมา”

……

ซ่งฝูเซิงพาภรรยาพร้อมลูกตามด้วยผู้สูงวัย คนอ่อนแอ คนร่างกายไม่แข็งแรงทั้งหมดอีกสิบสองคนเดินออกไป ท่ามกลางคำกล่าววิงวอนตะโกนขอฝนของทุกคน

สิ่งที่ทุกคนไม่รู้ก็คือ ที่บ้านเกิดของพวกเขา เริ่มจากสถานที่ที่พวกเขาลงจากเขามา เริ่มมีฝนตกกระหน่ำหนักตามทิศใต้เรื่อยมา

ตอนที่พวกเขาคุกเข่าขอฝนอยู่ในตอนนี้ ทางตอนใต้ก็มีฝนตกหนักสลับกับเสียงฟ้าร้องคำราม ในตัวเมืองน้ำแทบจะท่วม แต่พื้นที่แห่งนี้กลับแห้งแล้งกันดารมาก ขาดแคลนน้ำอย่างหนัก

เหมือนคำพูดที่มักกล่าวกันว่า ‘อดอยากตายเพราะภัยแล้ง จมน้ำตายเพราะน้ำท่วม’

ซ่งฝูเซิงยื่นจอบให้กับลุงใหญ่ “ลุงใหญ่ ท่านกับลุงสองขุดอยู่บริเวณนี้ ถ้ามีน้ำ จะสังเกตเห็นว่าดินโคลนเปียกชื้นก็ให้รีบกลับไปเรียกพวกเขา อย่าเรียกหาข้า เรียกไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้ายังต้องถือถังเปล่าพวกนี้ ท่านดูสิ หนทางไกลหน่อยยังต้องเดินต่อไปข้างหน้าอีก”

“ได้สิ อาเซิง ลุงใหญ่จะขุดหลุมให้ลึกลงไป เจ้าวางใจได้”

ซ่งฝูเซิงก็เดินไปพร้อมกับครอบครัวของเขา ตลอดการเดินทางก็ทิ้งกลุ่มคนทั้งสิบสองคนนั้นตามจุดตลอดระยะทางที่เดินไป

บอกให้พวกเขาสองสามคนจับกลุ่มกันขุดหาน้ำ

หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็เดินไกลออกไปอีก ตอนนี้เป็นช่วงเวลาหัวค่ำสองทุ่มกว่าใกล้จะสามทุ่มแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม

ซ่งฝูเซิงพูดขึ้น “ตรงนี้ก็แล้วกัน เจ้าสองแม่ลูกทาน้ำมันเย็นรอข้าอยู่บริเวณนี้ อย่ายืนนิ่งจ้องมองข้าอยู่อย่างนั้น ขยับตัวบ้างอย่าให้ยุงกัดและก็คอยพัดให้ข้าด้วย อย่าให้ร่างกายของข้าโดนยุงกัดได้”

เขาพูดจบ ซ่งฝูเซิงก็ทำตาขาวเข้าไปในพื้นที่พิเศษ

พื้นที่พิเศษนี้ ถังน้ำที่อยู่ข้างนอกไม่สามารถถือเข้ามาได้ ถังน้ำข้างในเอาออกมาก็ส่งกลับคืนเข้าไปไม่ได้

ดังนั้นเขาจึงต้องหาของที่ทิ้งแล้วไม่รู้สึกเสียดาย เช่นถังและขวดที่แตกไม่สามารถใช้ได้ในภายหลัง แต่พูดกันตามความจริง การใช้ชีวิตในสังคมยุคใหม่ บ้านใครกันจะเก็บของที่พังๆ พวกนี้ไว้ แต่บ้านของเขามีสิ่งของหลายอย่างมาก อาจจะกล่าวได้ว่าเขาเสียดายที่จะทิ้งสิ่งของพวกนี้ไว้ในยุคโบราณ

ซ่งฝูเซิงหาชามขนาดใหญ่มาได้สองใบ เขาเข้าไปในห้องน้ำเพื่อหาอ่างแช่เท้าพลาสติกของเขา และอ่างพลาสติกขนาดใหญ่หนึ่งใบที่เขาก็ไม่รู้ว่าเอาไว้ใช้ล้างอะไร เขาเปิดเกลียววาล์วที่ควบคุมความร้อนในห้องนั่งเล่น

เขาใช้ชามใหญ่สองใบรองน้ำที่ไหลออกจากวาล์ว ตอนแรกน้ำไหลเป็นสนิมสีเหลือง เขาเติมน้ำให้เต็มทั้งสองชามแล้วก็รีบวางไว้ด้านข้าง ก่อนจะรีบนำอ่างพลาสติกขนาดใหญ่มารองน้ำต่อ

หลังจากรองน้ำจนเต็มทั้งสองอ่างใหญ่ ซ่งฝูเซิงก็ครุ่นคิดสักพัก เขาวางแผนไว้ พรุ่งนี้ยังต้องรีบออกเดินทาง ทางที่ดีควรเสี่ยงอีกสักครั้ง หลังจากนั้นก็อดทนจนกว่าจะพบแหล่งน้ำ

เขาเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งเพื่อเอาอ่างแช่เท้าของเฉียนเพ่ยอิงออกมา ตอนใช้ชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบัน เขากับภรรยาต่างก็ชอบแช่เท้า อ่างน้ำจึงค่อนข้างใหญ่ เมื่อเติมน้ำในอ่างใหญ่จนเต็ม เขาเปิดน้ำในห้องนั่งเล่นให้ไหลออกมาไม่น้อย แล้วเขาจึงปิดวาล์วน้ำ

เคลื่อนย้ายก่อนสักรอบหนึ่งแล้วกัน

เฉียนเพ่ยอิงชี้ไปที่ชามสองใบ “นี่มันน้ำอะไร?”

“น้ำของเครื่องทำความร้อน สักพักข้าทำเสร็จก็จะขุดหลุมลึก แล้วเทน้ำสองอ่างนี้ที่ไม่สามารถดื่มได้ลงไปในหลุม…

…และก่อนที่พวกเราจะมา ในห้องน้ำยังมีน้ำที่เจ้าซักผ้าอยู่ในอ่าง ในนั้นเจ้าใส่ผงซักฟอกแล้วหรือยัง? มิเช่นนั้นมันไม่สามารถดื่มได้…

…เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะเททิ้งไว้ตรงนี้ ทำให้ดินเปียกชื้น บอกทุกคนว่ามีน้ำในแอ่งหลุมนี้ น้ำก็ถูกพวกเราขุดออกมาใช้จนหมด”

ในที่สุดเฉียนเพ่ยอิงก็รู้ว่าน้ำในหลายอ่างใหญ่มาจากไหน นางพูดขึ้น “ท่านพี่ น้ำในเครื่องทำความร้อนไม่สามารถดื่มได้ มันเป็นน้ำรีไซเคิล ในนั้นต้องมีโซเดียมไนไตรท์มากเกินไป ดื่มมากไปอาจทำให้เกิดพิษได้”

ซ่งฝูเซิงกระวนกระวายใจ เขายุ่งวุ่นวายกับงานจนเหงื่อไหลย้อย เขารีบตัดบทด้วยสีหน้าซีดเผือด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว