ตอนที่ 112
ซ่งฝูหลิงฟังเสร็จก็มีสีหน้าตื่นตระหนก “ท่านพ่อ”
เพียงแค่คำเดียว ความหมายในคำนั้นก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก บ้านเราไม่ได้ขาดน้ำ อย่างน้อยพวกเราหลายคนก็ยังไม่ขาดแคลนน้ำ ท่านอย่าขึ้นเขาไปเสี่ยงอันตรายโดยเด็ดขาด
ซ่งฝูเซิงแววตาเป็นประกาย
ความหมายจากสายตานั้นไม่ต้องอธิบายมากนัก แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ได้ป่วย เมื่อครู่มีคนถือดาบตวัดไปมา ข้าก็เกือบจะฉี่ราดอยู่แล้ว
ซ่งฝูหลิงเอามือกุมหัวใจสูดลมหายใจลึกๆ แค่เวลาเพียงชั่วครู่ก็ถูกจี้ด้วยดาบ แล้วนี่ยังได้ยินว่าผู้ลี้ภัยแย่งน้ำกันเอง นางตื่นตะหนกจนรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ไปทั่วร่างกาย อีกทั้งกลัวว่าพ่อของนางจะเป็นคนนำทางไปเอาน้ำด้วยตนเอง
เฉียนเพ่ยอิง กลับรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เพราะนางเข้าใจสามีของนางเป็นอย่างดี
ลูกสาวยังไม่เข้าใจ เหล่าซ่งชอบทำหน้าใหญ่ นิสัยดี เป็นพ่อที่สมบูรณ์แบบต่อหน้าลูกสาว
แต่ซ่งฝูเซิงไม่ได้ขึ้นเขาไปก็ไม่ได้แปลว่าปัญหาจะคลี่คลายลง โดยเฉพาะหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้คนในขบวนยิ่งมีเยอะเท่าไรก็จะยิ่งมีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
พวกช่างซ่อมรองเท้าหลายคนรีบร้อนมารวมอยู่ใกล้รถลากที่ซ่งหลี่เจิ้งอยู่ เพื่อที่จะมาปรึกษาหารือกัน
ซ่งหลี่เจิ้ง “ภูเขานั่น เราต้องขึ้นไปแน่นอน ตอนนี้พวกเราไม่มีน้ำ เดินหน้าต่อไปสักพัก ฝูเซิง เจ้าพูดประโยคนั้นว่าอย่างไรนะ? คำพูดที่เจ้าพูดเมื่อตอนกลางวันน่ะ?”
“พื้นที่แห้งแล้งหลายพันลี้ ไม่มีแม้กระทั่งต้นหญ้า”
“ฟังสิ พวกเราเพิ่งเดินมาได้ไม่กี่ร้อยลี้เอง? ยังห่างจากพันลี้มากนัก ทางข้างหน้าก็คาดว่ายังคงแห้งแล้ง ข้าเดาว่าคงไม่มีน้ำอีกแล้ว แต่ละคนถึงได้เสี่ยงชีวิตขึ้นมาบนภูเขาลูกนี้กัน”
ซ่งฝูเซิงพูดต่อ โดยเน้นส่วนสำคัญ
“ปากทางขึ้นหุบเขา อยู่บนยอดเขาสูงพันเมตร หากจะปีนขึ้นไปตรงนั้นคงต้องใช้เวลาสักพัก…
…ทางเดินขึ้นลง-เขานั้นคับแคบ ถ้าทุกคนเข็นรถขึ้นไปกันทั้งหมด มันคงลำบากมาก…
…หลังจากได้น้ำมาแล้ว จะถูกคนห้อมล้อมโจมตีแย่งน้ำกันได้ง่ายและอาจถูกแย่งเสบียงอาหารด้วย ในการหลบหนีลี้ภัย มีทั้งคนเฒ่าคนแก่ ผู้หญิง เด็กโตและเด็กเล็ก ต้องเข็นรถด้วยจะยิ่งช้ามาก ดังนั้นตอนนี้ทุกคนจะต้องแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม…
…กลุ่มหนึ่งรับผิดชอบอยู่ด้านล่างภูเขา คอยคุ้มครองปกป้องเสบียงอาหาร ท่านแม่ ภรรยา ลูกสาวและเด็กๆ…
…ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คอยรับหน้าที่ถือถังน้ำเพื่อขึ้นภูเขาไปตักน้ำ…
…สองกลุ่มต่างก็มีอันตราย ดูเหมือนกลุ่มที่ต้องขึ้นเขาจะลำบากกว่า แต่กลุ่มที่อยู่ข้างล่างคอยเฝ้าอาหาร ก็นับว่าเสี่ยงอยู่เหมือนกัน…
…โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ ผู้หญิง เด็กโต เด็กเล็กที่คอยถ่วง…
…แต่หากมีผู้ลี้ภัยลงมาจากภูเขาจำนวนมากเพื่อมาแย่งชิงเสบียงอาหาร กลุ่มที่อยู่ด้านล่างของภูเขาอาจจะสามารถปกป้องอาหารได้ แต่จะไม่สามารถปกป้องเด็กๆ ได้”
ซ่งหลี่เจิ้งพยักหน้า “ฝูเซิงพูดในส่วนสำคัญที่ควรพูดไปแล้ว ตกลงกันว่าใครจะขึ้นไปบนเขา ใครจะอยู่ข้างล่าง ทั้งสองกลุ่มต่างก็ลำบากเหมือนกัน พวกที่ขึ้นเขาจะต้องรักษาชีวิตไว้ให้ได้ อย่าบาดเจ็บ คนหนึ่งต้องสามารถถือน้ำหลายถังได้ด้วย คนที่จะทำหน้าที่คุ้มกันต้องมีกี่คน? พวกเราทุกคนต้องจ่ายค่าตักน้ำกันกี่คน?”
ในขณะเดียวกัน เฉียนเพ่ยอิงก็กระซิบพูดคุยกับลูกสาว “ฝูหลิง คนหนึ่งต้องจ่ายสองตำลึงเงิน สองตำลึงนั้นมีค่าเท่าไรหรือ?”
ซ่งฝูหลิงครุ่นคิด “ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าหากคิดตามหนึ่งเหวิน (อีแปะ) เท่ากับหนึ่งหยวน สองตำลึงก็เท่ากับสองร้อยหยวน แต่ในยุคโบราณคงไม่ได้คำนวณแบบนี้ คงดูตามมูลค่าของสิ่งของ ตามสัดส่วนของเงินทอง คงไม่สามารถคำนวณได้ตรงเป๊ะแบบสัดส่วนหนึ่งต่อสิบ หนึ่งต่อหนึ่งร้อยแบบนั้น น่าจะได้ประมาณสองร้อยกว่าหยวนน่ะ ข้าคาดเดาเอานะ”
เงินสองร้อยกว่าหยวนเพื่อซื้อน้ำ “ขายแพงกว่าแถวหมู่บ้านของพวกเราอีก เฮ้อ”
ซ่งฝูหลิงคิดในใจ แพงกว่าน้ำในบาร์กับผับที่หนึ่งขวดราคายี่สิบห้าหยวน สามสิบหยวนด้วย ราคาแพงมากกว่าหลายเท่า แต่ตอนนี้ แม้แต่บ้านกับที่ดินยังทิ้งได้? หลบหนีลี้ภัยไง มาถึงสภาพนี้แล้วไม่ต้องคิดเรื่องเงินแล้ว มีชีวิตอยู่รอดให้ได้ก่อนสำคัญกว่า
แต่ก็ยังถือว่าแพงมากๆ
“ท่านแม่ ปีหนึ่งๆ พวกเขาทำงานหาเงินมาไม่ได้มากเท่าไร ไม่ได้ยินที่พ่อข้าพูดหรอกหรือ เขาให้ท่านป้าของข้ายืมเงิน สำหรับประชาชนคนธรรมดาแล้ว ถือว่าเป็นเงินจำนวนเยอะมาก…
…ยังมีห่อผ้าเล็กๆ ที่ข้าสะพายอยู่นี้ นี่เป็นของท่านย่าของข้า…
…ข้าบอกกับท่านว่า ในนี้ใส่เงินเก็บของท่านย่าไว้สี่ตำลึง นางพูดกับข้าเอง บอกว่าเป็นเงินสะสมที่เก็บมาครึ่งชีวิต ไม่ให้ข้าบอกใคร…
…ท่านลองคำนวณดูสิ ในหนึ่งเดือน หนึ่งปี พวกเขาจะมีรายได้มากน้อยแค่ไหน ข้าสงสัยว่าคนที่เป็นชาวไร่ชาวนา คงต้องเก็บเงินหลายเดือนกว่าจะได้สองตำลึงเงิน”
ตอนที่ 113
พวกผู้หญิงต่างพากันหาถุงผ้าขนาดใหญ่ออกมา แล้วนำถุงน้ำที่ว่างเปล่าของแต่ละบ้านใส่ลงไป รวมทั้งกระเพาะหมูที่ทำไว้ใช้ใส่น้ำ กระบอกน้ำไม้ไผ่ รวมใส่เข้าไปในถุงผ้าใหญ่นั้น
นอกจากนี้ยังมีหญิงชราที่นำโถหลายใบใส่ลงไปในห่อผ้าอีกผืนหนึ่ง นำผ้ามาห่อแล้วผูกเป็นเงื่อน ถึงตอนนั้นเมื่อตักน้ำเสร็จ ก็สามารถนำโถน้ำแขวนไว้บนหน้าอกได้
ทางด้านครอบครัวของซ่งฝูเซิง
ท่านย่าหม่าไม่เพียงนำถุงน้ำอันว่างเปล่าออกมาทั้งหมด นางยังนำถังน้ำเปล่าห้าลิตรมาแยกใส่ลงในสองถุงที่ค่อนข้างคงทน
ใบหน้าของเด็กวัยสิบกว่าขวบ พวกเขาเตรียมพร้อมรอออกเดินทาง
ชายหนุ่มแต่ละคนด้านหลังแบกถุงที่ใส่ถุงน้ำ ด้านหน้าแขวนห่อผ้าที่ด้านในบรรจุโถกับ อุปกรณ์ตักน้ำ
ต้าหลัง หลานชายคนโตของซ่งฝูเซิง หลานชายหูจือ ด้านหน้าของชายหนุ่มสองคนนูนขึ้นมามาก เป็นเพราะว่าด้านในใส่ถังน้ำเปล่าขนาดห้าลิตร
พวกเขาต้องปีนเขาขึ้นไปถึงพันเมตร ตักน้ำเสร็จแล้วก็ต้องลงจากเขา ลองจินตนาการตามได้ว่า ยามที่ตักน้ำจนเต็มแล้ว น้ำหนักที่ร่างกายต้องแบกรับจะหนักมากขนาดไหน
ซ่งฝูหลิงที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ถึงกับอึ้ง
ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน นางก็เคยหิ้วถังน้ำขนาดห้าลิตรมาแล้ว นางหิ้วจากร้านค้าใต้ตึกกลับมาบ้าน ยังต้องขึ้นลิฟท์และวางของลง ไม่กล้าคิดเลยว่า พี่ต้าหลัง พี่หูจือ เมื่อต้องเติมน้ำสองถังนี้ให้เต็ม คนหนึ่งสะพายแขวนไว้บนไหล่ถังหนึ่ง ด้านหลังยังแบกถุงน้ำไว้ตั้งเยอะ หลังจากนั้นยังต้องเดินลงจากภูเขาสูงพันเมตรนี้อีก
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะใช้มือประคองไว้ก็ไม่ได้ เพราะมือของทุกคนก็ต้องหิ้วถังไม้สองถัง ด้านหน้า ด้านหลัง ทั้งสองมือ ชายหนุ่มแต่ละคนจะต้องแบกรับน้ำหนักของปริมาณน้ำทั้งหมด
ซ่งฝูเซิงมองใบหน้าของพวกเขา “พวกเจ้ากลัวไหม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...