ทุกคนได้ฟังจบก็แตกตื่น มีผู้ลี้ภัยบางส่วนถึงกับทรุดนั่งลงกับพื้นปาดน้ำตา
รู้สึกไม่พอใจ น้อยเนื้อต่ำใจ
บัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้า ทหารกองหนุน เมื่อก่อนพวกเขาเป็นเพียงชาวไร่ชาวนา เป็นอาชีพที่มีฐานะ ตอนนี้กลับให้พวกเขาไปเป็นคนชั้นล่างสุด หรือแม้แต่ชั้นล่างสุดก็เป็นไม่ได้ ที่ไหนต้องการตัวก็ต้องไปอยู่ที่นั่น เอาชีวิตของพวกเขาไปสร้างเมือง สร้างแหล่งน้ำ
อย่าว่าแต่พวกลี้ภัยที่กังวลใจกัน แม้แต่ซ่งฝูเซิงก็มีสีหน้ากลัดกลุ้ม เขาหันมามองป้ายประกาศอีกครั้ง
คิดในใจ
แบบแรก เป็นกรรมกรใช้แรงงาน ในสังคมยุคสมัยใหม่ของพวกเขาก็ไม่ต่างกับการอยู่ในคุก
เมื่อถึงเวลาก็ตื่นนอน ถึงเวลาให้กินอาหาร เสร็จแล้วก็ใช้แรงงาน ทำงานทุกวัน เงินที่หามาได้ก็ไม่ใช่ของตนเอง เหมือนทำงานฟรี
บนหน้าก็สักตัวอักษรไว้ เจ้าจะหนีไปไหนไม่พ้น เสมือนเป็นคำสั่งนำจับที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย
อยู่ข้างนอก ขอเพียงมีคนเห็นใบหน้าของเจ้าที่มีตัวอักษร ไม่ต้องตรวจสอบ ไม่ต้องถามก็สามารถจับกุมตัวได้ทันที
แบบที่สอง ดูที่เขียนไว้ข้างบน ทหารกองหนุน ห้ามออกจากพื้นที่เกินหนึ่งลี้ เข้าออกตามเวลา จะทำงานหรือพักผ่อนก็ต้องรายงานให้รู้
หมายถึงอะไร ให้ทุกคนต่างตรวจสอบกัน ดีที่สุดคือทำกิจกรรมแถวหน้าบ้าน ห้ามเดินพลุกพล่าน อย่ามัวแต่คิดจะออกไปข้างนอกเพื่อทำการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ อย่าได้หวังว่าจะได้ไปเยี่ยมเยือนบ้านคนอื่นที่อยู่ต่างถิ่นได้
การเป็นทหารกองหนุนก็ไม่ได้ดีไปกว่าการเป็นกรรมกรใช้แรงงาน เทียบเท่ากับการควบคุมและเฝ้าระวังที่อยู่อาศัยในสังคมยุคใหม่
ไปไหนก็ต้องรายงาน ต้องทำไร่ไถนาให้คนอื่น เพาะปลูกเสร็จแล้วส่วนหนึ่งก็ต้องส่งให้ทางการ เมื่อยามสงคราม ชายฉกรรจ์ที่อยู่ในบ้านก็ต้องออกไปรบ
สิ่งสำคัญสุดคือ เมื่อคนรุ่นที่หนึ่งเป็นทหารกองหนุนแล้ว หากไม่มีผลงานในการรบก็จะไม่ได้เป็นนายกอง ไม่ได้เลื่อนยศ คนทุกรุ่นต่างก็มีฐานะเช่นนี้ ลูกชายและลูกสาวได้แต่แต่งงานกับทหารกองหนุนรุ่นหลัง ลูกออกมาจะก็มีสถานะเช่นนี้
ไม่ว่าจะคลอดลูกเป็นชายหรือหญิง หากออกมาก็จะถูกกำหนดสถานะไว้แล้ว ถ้าเช่นนั้นเมื่อคลอดออกมาจะมีประโยชน์อะไร? มีลูกหลายคนไปจะทำอะไรได้ ทั้งหมดต่างก็เปล่าประโยชน์ อยากเรียนหนังสือก็ไม่มีสิทธิ์เข้าสอบ อะไรก็ทำไม่ได้ เกิดมาก็ถูกกำหนดให้ใช้ชีวิตกับคมดาบคมหอก เจ้ายังจะมีลูกทำไม? อยากให้ลูกต้องมาลำบากหรือ?
ซ่งฝูเซิงมีอาการปวดฟันกรามหลัง เมื่อเขาหันไปมองซ่งฝูหลิงก็ปวดฟันจนเส้นเลือดในสมองเต้นตุบตับ
โบกมือ “ไป ไปเข้าแถวก่อน ระหว่างเข้าแถวก็ค่อยคิด ให้ท่านหมอตรวจชีพจรก่อนแล้วเอาแท่งไม้ไปรับข้าวต้ม”
พวกซ่งหลี่เจิ้งรีบหันรถเข็นเปลี่ยนทิศทางและเดินตามหลังซ่งฝูเซิง
คนชรา ผู้หญิง และเด็ก ทุกคนต่างถอนหายใจ แต่ไม่มีใครร้องไห้สักคน พวกเขามีความมั่นคงทางอารมณ์มากกว่าผู้ลี้ภัยที่อยู่ตรงป้ายประกาศมาก
ไม่น้อยใจหรือ? ทำไมถึงจะไม่น้อยใจ หนีอพยพกันมาจนถึงที่นี่ นี่คือผลที่ได้รับแบบนี้หรือ?
พวกเขาไม่รู้เรื่องของคนอื่น แต่พวกเขาเป็นชาวนาอย่างแท้จริง
แต่ว่า ได้รับการฝึกฝนมาก่อนหน้านี้แล้ว
พวกเขาร่วมทุกข์กันมาครั้งแล้วครั้งเล่า และในแต่ละครั้งจะมีการประชุมพร้อมสรุปผล สอนให้พวกเขารู้ว่า การร้องไห้ การบ่น และการสาปแช่งเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่สุด อย่าว่าแต่การด่าเลย ต่อให้เจ้าตายอยู่ข้างทางก็ไม่มีใครสนใจ ดังนั้นเข้าแถวต่อคิวเพื่อตรวจชีพจรแล้วไปกินข้าวต้มเถอะ การดื่มข้าวต้มได้ถือเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด
อยากเข้าแถวก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าไปได้
ทหารนำทางถาม “อ่านประกาศแล้วหรือยัง?”
“อ่านแล้ว”
“อ่านเข้าใจแล้ว?”
“เข้าใจแล้ว”
อ่านเข้าใจแล้วถึงสามารถเข้าไปได้ เข้าไปเถอะ
รถเข็นแต่ละคัน เข็นผ่านเนินเขาสองข้างทางอันขรุขระ รถเข็นของผู้ลี้ภัยไม่สามารถจอดทิ้งไว้ได้ทุกที่ อย่างน้อยต้องไม่ขวางด้านหน้าเต็นท์
ซ่งหลี่เจิ้งกำลังสั่งการ “รีบตรวจดูสิ มีเด็กเป็นไข้หรือไม่ ถ้ามีรีบพูดออกมา ข้ามียาแก้ไข้ ป้อนให้กินก่อนได้เม็ดหนึ่ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...