ผู้คุมเถิงสูดลมหายใจเข้าลึก ซดเหล้าไปจอกหนึ่ง
หลังจากนั้นเขาก็ควักกระดาษหลายแผ่นออกจากหน้าอกเสื้อ
มีสองใบเป็นหนังสือผ่านเมือง จากที่นี่ไปถึงเมืองเฟิ่งเทียนจะต้องผ่านสองเมืองกับอีกเจ็ดอำเภอ สองเมืองนั้นคือเมืองจวินโจวกับเมืองซวินหยาง
ทุกครั้งเมื่อถึงหน้าประตูเมือง จะต้องนำเอกสารสองใบนี้อออกมาให้เจ้าหน้าที่เฝ้าเมืองประทับตรา หากไปเมืองเฟิ่งเทียนโดยขาดตราประทับอันใดอันหนึ่งจะเป็นเรื่องยุ่งยากมาก เพราะที่นั่นเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้ประทับอยู่ มีการดูแลที่เข้มงวดมาก
ผู้นำเถิงวาดแผนที่เส้นทางเดินแบบเรียบง่ายให้กับซ่งฝูเซิงดู และกำชับเขาอย่างละเอียด
“เห็นหรือไม่? นี่เป็นจุดให้บริการข้าวต้มของเมืองจวินโจว เข้าประตูเมืองตรงนี้แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ จนถึงสี่แยกนี้แล้วเลี้ยวซ้าย…
…นี่เป็นจุดให้บริการข้าวต้มของเมืองซวินหยาง เจ้าเข้าจากประตูเมืองตรงจุดนี้แล้วเดินตรงไป มีสี่แยกเล็กๆ ไม่ต้องเลี้ยวก็จะเห็นร้านตีเหล็กขนาดใหญ่มีชื่อว่า ‘อู๋จี้’ เลี้ยวจากตรงนี้แล้วเดินตรงไปก็จะเจอ…
…มีเพียงสองหัวเมืองนี้ที่มีจุดบริการข้าวต้ม ส่วนเจ็ดอำเภอไม่มีจุดบริการ”
ผู้คุมเถิงชี้ไปที่แผนที่ถนนออกนอกเมืองของสองเมืองกับอีกเจ็ดอำเภอ “เจ้าเข้าใจไหม?”
ซ่งฝูเซิงพยักหน้า
ผู้คุมเถิงไม่ค่อยวางใจซ่งฝูเซิงนักจึงกำชับอีกครั้ง
“พวกเจ้ามีคนมาก รถเข็นก็เยอะและมีสภาพการแต่งตัวแบบนี้…
…จำไว้ว่า เมื่อเข้าไปในเมืองแล้ว ไปแค่จุดบริการข้าวต้มที่ข้าวาดให้เจ้าดู อย่าไปสถานที่อื่นนอกเหนือไปจากนี้ เมื่อไม่มีพวกข้าไปพร้อมกับพวกเจ้า อาจถูกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นนำตัวไปสอบสวน เรื่องจะยุ่งยากมากขึ้น…
…ถ้าขาดของอะไร ต้องการซื้อของเพิ่ม พยายามอยู่แต่ในโรงเตี๊ยม แม้ว่าจะเสียเงินเยอะก็ตาม อย่าเข้าไปในตลาดสดของเมืองนั้น เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?”
“เข้าใจแล้ว” ซ่งฝูเซิงคิด สถาพของพวกเขาดูเหมือนคนเร่ร่อนและจำนวนคนเยอะ แม้ว่าจะไม่จับกุมพวกเขาเพราะหลงคิดว่าเป็นกองโจร ก็คงคิดว่าสภาพของพวกเขามีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเมือง
ผู้คุมเถิงใช้นิ้วมือเคาะบนโต๊ะ เขาครุ่นคิดว่ายังต้องเสริมเรื่องอะไรเพิ่มเติมหรือไม่
“ใช่แล้ว ตอนเย็นที่เจ้ามาโรงเตี๊ยมนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าได้สังเกตหรือไม่?…
บนป้ายมีตราสัญลักษณ์ของราชสำนัก เจ้าก็หาโรงเตี๊ยมพักแรมที่มีป้ายนี้เช่นนี้ เมื่อครู่เจ้าคุยกับเถ้าแก่อย่างไร เมื่อไปสถานที่อื่นเจ้าก็คุยแบบนั้น…
…โดยทั่วไประยะทางประมาณสิบลี้ขึ้นไปหรือมากสุดห้าสิบลี้จะมีโรงเตี๊ยมสำหรับพ่อค้าชาวนารอยู่สามแห่งที่มีป้ายของราชสำนัก”
ซ่งฝูเซิงพยักหน้า พ่อค้า ชาวนา ก็แทบไม่ต้องพูดถึงเพราะบนป้ายจะมีสัญลักษณ์ของหน่วยงานราชการรับรองเป็นสถานที่พำนัก
“พ่อค้าที่เข้ามาพักแรมในโรงเตี๊ยมยังมีประโยชน์อย่างหนึ่ง พวกเขามีที่เก็บสิ่งของและสามารถช่วยเจ้าขนของได้ แต่พวกเจ้าคงไม่จำเป็นต้องใช้”
ซ่งฝูเซิงเห็นด้วย พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ พวกเขามีคนเยอะ สามารถขนบรรทุกของกันเองได้
ผู้คุมเถิงมองท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอก เมื่อไม่มีอะไรต้องสั่งกำชับแล้ว เขาก็ลุกขึ้น
“เมื่อข้าไปถึงที่นั่นแล้ว ข้าจะไปบอกกับใต้เท้าเสิ่นที่มีหน้าที่จัดการที่อยู่ของพวกเจ้าในเมืองเฟิ่งเทียนว่า พวกเจ้าอาจมาล่าช้าสามสี่วัน เมื่อเจ้าเจอเขาก็อ้างถึงข้าได้ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเจ้าก็ไม่ต้องรีบร้อนเดินทางมากนัก…
…ส่วนสุดท้ายพวกเจ้าจะได้ไปที่ไหนนั้น ข้าเขียนเสนอแนะไว้ด้านบนแล้วว่า อำเภอจยา…
…พูดตามความจริง พวกเจ้าจะได้ย้ายมาอยู่หมู่บ้านในอำเภอนี้หรือไม่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ อีกทั้งพวกเจ้ามีคนจำนวนมาก จะสามารถอยู่ด้วยกันทั้งหมดได้หรือไม่ ข้าก็ไม่แน่ใจ…
…แม้ใต้เท้าสวีสั่งกำชับข้ามา แต่เขากับข้าก็เข้าใจ เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความดูแลของพวกข้า พวกข้ามาถึงเมืองเฟิ่งเทียนก็ไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้ ได้แต่นำพวกเจ้าส่งต่อไปให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ก็ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของใต้เท้าเสิ่นคอยจัดการ…
…ยังดีที่ใต้เท้าสวีกับใต้เท้าเสิ่นเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมา ไม่ว่าพวกเจ้าจะช้ากี่วัน เขาก็สามารถรอได้ ส่วนเรื่องที่พวกเจ้าทั้งหมดจะสามารถอยู่ด้วยกันได้หรือไม่นั้น…”
ผู้คุมเถิงขมวดคิ้วบ่นพึมพำ เขาจะต้องบอกกับใต้เท้าเสิ่นเรื่องที่ใต้เท้าสวีฝากฝังมาให้ช่วยดูแลพวกเขา จะเห็นแก่หน้าหรือไม่นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับใต้เท้าเสิ่นแล้ว
ซ่งฝูเซิงลุกขึ้นยืน “ผู้คุมเถิง บุญคุณใหญ่หลวงไม่อาจทดแทน ได้แต่จดจำไว้ในใจ ครั้งหน้าไม่รู้ว่าจะได้พบเจอกันเมื่อไร แต่เมื่อพบเจอกันครั้งต่อไป ไม่ใช่มีเพียงแค่เหล้ากับกับแกล้มเพียงสองอย่างที่ไว้ต้อนรับ”
ผู้คุมเถิงพูดทีเล่นทีจริง “แค่นี้ก็เป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้วหรือ?”
ซ่งฝูเซิงยิ้ม เขาบอก “บุญคุณใหญ่หลวง”
“ดีที่ท่านมาบอกให้พวกเราแยกกันเดินทางและคอยกำชับเรื่องที่ควรระวัง ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่สนใจนัก…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...