ทะลุมิติทั้งครอบครัว นิยาย บท 137

เฉียนเพ่ยอิงปลอบลูกสาว “อย่าโกรธไปเลย เขาเป็นคนไม่ฟังใคร เจ้ากับเขาก็เป็นแบบเดียวกัน”

“ข้าไม่เข้าใจ ข้าพูดไปแบบนี้แล้ว ทำไมเขาถึงไม่เชื่อข้า ปกติดูเหมือนเชื่อข้ามาก ในช่วงสถานการณ์คับขัน เขายอมเชื่อในตัวเองมากกว่า ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว เสียเวลาเดินเปล่า เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

“เขาก็เป็นคนแบบนี้ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”

“ส่วนพวกนั้นก็…เหมือนไม่มีใครมีสมองเลย หมดคำบรรยายจริงๆ แต่ละคนเชื่อฟังกันง่ายๆ เหมือนสาวก”

เฉียนเพ่ยอิงเหลือบตามองรอบตัว ก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้าต้องเข้าใจทุกคนหน่อยนะ พ่อของเจ้าเป็นถงเซิง ไม่ว่าจะอยู่ยุคสมัยใด คนเราก็ต้องเชื่อถือคนที่แข็งแกร่งกว่า โอ้ สวรรค์ เพียงแค่คิดว่าพ่อของเจ้ามีการศึกษาสูงที่สุด ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนสวรรค์จะเล่นตลกกับพวกเรา”

ซ่งฝูหลิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข นางรีบก้มหน้าและเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นรอยยิ้มไว้

ตอนนี้ซ่งฝูเซิงที่ถูกพูดถึงกำลังนำทางอยู่ด้านหน้าสุด เมื่อใกล้จะเดินเข้าป่า เขาก็หันกลับมามอง พบว่าสองแม่ลูกยังไม่เดินตามมา พวกนางยังคงเดินอ้อยอิ่งชักช้าอยู่ข้างหลัง

ซ่งฝูเซิงรู้ดีว่าตนเองทำให้ลูกสาวโมโหไม่น้อย โดยเฉพาะทำให้นางต้องมาเสียแรงเดินโดยเปล่าประโยชน์ ตอนนี้คงกำลังโทษเขาอยู่ในใจ เฮ้อ!

“พวกเจ้าสองคนทำไมเดินช้าอย่างนี้?” ซ่งฝูเซิงหยุดรอ เมื่อสองแม่ลูกเดินเข้ามาใกล้ เขาก็เข้ามาพยุงซ่งฝูหลิง “เดินไม่ไหวแล้วสินะ พ่อช่วยพยุงเจ้าเอง”

ซ่งฝูหลิงไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ซ่งฝูเซิงเหล่ตามองสีหน้าของลูกสาวและเหลือบมองสีหน้าของนางอีกครั้ง เป็นพ่อก็ไม่สามารถยอมรับว่าตนเองผิดได้ เขาหาเรื่องพูดคุย “อย่าเบะปากเลย ใครจะรู้ว่าเดินผิดเส้นทาง? ข้าก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ ยิ่งเหนื่อยขึ้นอีก ข้ายังต้องเข็นรถ มา เจ้าร้องเพลงให้พ่อฟังหน่อย”

ซ่งฝูหลิง ท่านทำผิดแล้ว ท่านเหนื่อย หลังจากนั้นก็ให้ข้าร้องเพลงปลอบใจให้ท่านฟังใช่ไหม?

ซ่งฝูเซิงพูดขึ้น “ร้องเพลงนั้น เพลงอะไรนะ? ชีวิตไม่ใช่มีเพียงเรื่องที่เผชิญอยู่ตรงหน้า” เขาร้องเพลงไม่ค่อยเป็น เคยฟังเพลงนี้มาหลายครั้งก็รู้สึกชอบมาก แต่ร้องไม่เข้าจังหวะดนตรี

สองนาทีผ่านไป ซ่งฝูเซิงถอนหายใจ ขี้ใจน้อยจัง เหมือนใครเนี่ย “ถ้าไม่อยากร้องก็ไม่ต้องร้อง ไปกันเถอะ ถึงแม้วันนี้พวกเราเดินมาผิดทาง แต่พ่อจะพาเจ้าไปหาความรู้เพิ่มเติม ให้เจ้าได้เห็นป่าสนแดงจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร เมื่อสายลมบางเบาพัดผ่าน อากาศสดชื่น ใบสนพลิ้วไหว ข้าจะบอกกับเจ้า ข้า…”

ทุกคนหยุดเดินในทันที ซ่งฝูเซิงก็หยุดเข็นรถ เขาขมวดคิ้วก่อนดึงลูกสาวไปดูเหตุการณ์ข้างหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น

ซ่งฝูหลิงเงยหน้ามองพ่อของนาง อืม เมื่อสายลมบางเบาพัดผ่าน อากาศสดชื่น ใบสนพลิ้วไหว ท่านพ่อ ท่านลืมพูดไปสองประโยคหรือเปล่า? อากาศอึมครึม น่าหวาดกลัวจนขนลุกชัน พื้นที่สุสาน ท่านพาพวกเราเข้ามาในสุสานแล้ว

“แค่ก” ซ่งฝูเซิงไอ “เฮ้ย ใครเอาคนตายมาฝังไว้ตรงนี้เนี่ย”

“เสี่ยวซาน พวกเรายังจะเก็บมันมาเผาไฟอยู่อีกไหม?” เกาถูฮู่ที่อยู่ข้างหน้าสุดถามขึ้นมาพลางเอามือลูบแขน

ไม่ใช่หวาดกลัว แต่ดูน่าตกใจ

ที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่ 3-5 หลุม แต่มีหลุมฝังศพเก่ากว่าอีกหลายร้อยหลุม อยากไปป่าสนต้องผ่านหลุมศพพวกนี้ไปก่อน นี่จะไม่เป็นการรบกวนพวกเขาหรอกหรือ ไม่จำเป็นต้องทำเพียงเพื่อไปเก็บฟืนหรอกกระมัง

เถียนสี่ฟาก็หันไปมองน้องสาม เมื่อสักครู่พวกเขาที่มีร่างกายกำยำหลายคนเดินนำหน้าตัดหญ้าเพื่อคอยเปิดทาง ตอนนี้เหงื่อออกเต็มไปหมด เขาก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่จำเป็นต้องทำ เพียงแค่เพื่อไปเก็บฟืน

เมื่อพบว่าทุกคนต่างจ้องมองเขา ซ่งฝูเซิงหันไปมองหลุมฝังศพและกลับไปมองพื้นที่อันรกร้าง สถานการณ์ช่างชวนเก้อเขินเสียจริง

สายตาของเขาก็มองไปยังต้นสนแดงที่อยู่ไม่ไกลออกไป คิดในใจ

ถ้าเดินจากไปแบบนี้ วันนี้ทั้งวันก็ถือว่าเสียเวลาไปแบบเปล่าประโยชน์ นอกจากเหนื่อยเปล่าแล้ว กลับมาอยู่กินในโรงเตี๊ยม ก็ต้องเสียเงินไปวันหนึ่ง

ไม่ได้ เดินมาถึงที่นี่แล้ว แม้ว่าจะต้องขึ้นเขาลงห้วย เขาก็จะเข้าป่าไปดูให้ได้

เขาหวังเป็นอย่างมากว่าที่นั่นจะมีถั่วเมล็ดสน เขาจะได้นำไปขายเพื่อหารายได้ให้กับครอบครัว

แม้จะได้เงินน้อย แต่ถ้าขาดแคลนเงินก็ลำบาก

ในกระเป๋ามีเพียงไม่กี่สิบตำลึง จะไปพอที่ทำอะไรได้ เมื่อถึงเมืองเฟิ่งเทียนก็เข้าฤดูหนาวแล้ว การกินอยู่ก็ลำบาก ส่วนเงินของหมี่โซ่วนั่นก็เป็นเงินของเด็กน้อย ไม่สามารถแตะต้องได้ เมื่อพูดออกไปแล้วก็ไม่สามารถกลับคำได้อีก มิเช่นนั้นจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

ยังมีพวกเพื่อนบ้านเหล่านี้ที่ยากจน ถ้าไม่มีเงินจะผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างไร

“เข้า เข้าป่า รถเข็นจอดไว้ตรงนี้ ที่นี่ไม่มีใคร ไม่หายแน่นอน…

…ฟังข้า เทตะกร้า เทกระสอบออก แบกเชือกและนำอุปกรณ์ในบ้านไปด้วย…

…ข้าบอกความจริงกับพวกเจ้าแล้วกัน ก่อนหน้านั้นที่ไม่ได้บอกเพราะกลัวพวกเจ้าผิดหวัง…

…ข้าอยากจะเข้าไปดูข้างในว่ามีถั่วเมล็ดสนหรือไม่ พวกเจ้าไม่เคยกินถั่วเมล็ดสน แต่ข้าเคยกินแล้ว ตอนไปสอบในเมืองข้าได้มีโอกาสลองชิมอยู่หลายอัน แค่จานเล็กเพียงจานเดียวก็แพงมาก”

ซ่งหลี่เจิ้งถาม “อะไรคือถั่วเมล็ดสน?”

“เมล็ดแตงโม เคยกินไหม?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว