“ท่านลุง ข้าเดินเองได้”
“ท้องฟ้ายังมืดอยู่ เดี๋ยวเจ้ามองทางไม่ชัด”
“ข้าจะจับมือท่านเดิน”
ซ่งฝูเซิงอุ้มเฉียนหมี่โซ่วออกจากตะกร้า
“ท่านป้า ท่านกินของว่างแล้วหรือยัง?”
“กินแล้ว เจ้ารีบกินของเจ้าเถอะ ในกระบอกน้ำของพี่สาวเจ้ายังมีน้ำอุ่นอยู่ พวกเรากินเสร็จแล้วก็ดื่มน้ำอุ่น”
“พี่สาว พี่สาว”
“ข้าก็กินแล้ว เจ้าช่างเป็นห่วงเป็นใยเสียจริง”
เฉียนหมี่โซ่วกินขนมที่อยู่ในมือ ส่วนมืออีกข้างของเขาก็จับมือซ่งฝูเซิงไว้แน่น เขาก้มศีรษะไม่รู้ว่ากําลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ใบหน้าเล็กๆ ของเขาแลดูมีความสุข
เฉียนเพ่ยอิงเดินพูดคุยกับซ่งฝูเซิง “เข้าเมืองแล้ว คงต้องหาเวลาไปซื้อผ้าบ้าง เลือกผ้าหลายผืนหน่อย ครั้งนี้จะให้พี่สาวทําเสื้อกันหนาวให้ท่านไว้คลุมภายนอก”
“ของข้าไม่ต้องหรอก ทำงานทุกวันใส่เสื้อชุดนั้นแหละ พวกเจ้าซื้อใส่กันเองเถอะ”
เอ๊ะ เจ้าคนนี้โง่หรืออย่างไร? ไม่ทำเสื้อสวมทับไว้ด้านนอกอีกชั้น เช่นนั้นจะปกปิดเสื้อกันหนาวขนสัตว์ได้อย่างไร
เฉียนเพ่ยอิงคิดไว้แล้วว่านางจะทำเสื้อคลุมให้กับเหล่าซ่งและลูกสาวคนละชุด
ชุดกันหนาวที่ลูกสาวสวมอยู่ในตอนนี้ คือชุดที่ได้รับบริจาคมา เป็นเสื้อผ้าเก่าที่สวมใส่มาแล้วหลายปี ฝ้ายด้านในจับกันเป็นก้อนและเสื้อตัวค่อนข้างใหญ่ เมื่อสวมใส่ก็ไม่พอดีตัว มองดูไม่สวย งามและยังไม่ช่วยให้ความอบอุ่น
หลังจากนั้นต้องนำเสื้อขนสัตว์ของบ้านพวกนางออกมา ทำเสื้อทับคลุมเสื้อขนสัตว์ไว้ด้านในอีกที จะได้อบอุ่นและไม่เป็นที่สะดุดตา
เสื้อกันหนาวขนสัตว์ของลูกสาวจำเป็นต้องแก้ไข เอาส่วนที่เป็นหมวกคลุมออกมา ทำหมวกขนสัตว์ที่ไม่เป็นที่สะดุดสายตาคน ความยาวของเสื้อก็ต้องให้พอดีกับตัว
ถ้ามีใครลูบคลำเสื้อแล้วถามว่าอะไร?
ใครจะถามหรือ
อย่างน้อยก็มีท่านย่าหม่าคนหนึ่งล่ะที่ชอบมาลูบๆ คลำๆ เมื่อถึงตอนนั้นก็บอกกับนางว่า ได้ซื้อฝ้ายเปลี่ยนใส้ในมาจากเมืองเฟิ่งเทียน อย่างน้อยยังมีเหล่าซ่งคอยช่วยพูดโกหก
เหล่าซ่งสามารถพูดโกหกได้ทุกวันอยู่แล้ว
“ข้าบอกให้ซื้อก็ซื้อเถอะ ซื้อผ้าเนื้อหนาสีเข้มหน่อย มันสามารถกันลมและใช้ได้นาน”
ซ่งฝูหลิงอยากเลือกเอาผ้าสีน้ำเงินกับสีดำ
ท่านพ่อท่านแม่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน “เลือกสีนั้นได้ยังไง”
ซ่งฝูเซิงบอกว่าลูกของเขาควรเลือกผ้าสีแดงที่มีลายดอกไม้เล็กๆ ใส่สีแบบนี้ถึงจะดูมีสีสันหน่อย
“อืม ตอนไปเลือกค่อยดูกันอีกทีก็แล้วกัน” เฉียนเพ่ยอิงพูดเสริม “ถ้าเป็นสีแดงเข้ม มีลายดอกไม้เล็กๆ ก็ดีเหมือนกัน อายุยังน้อยควรใส่สีแบบนี้หลายครั้งหน่อย สีแดงเข้มก็ดูไม่ค่อยเปื้อนง่ายเท่าไหร่นัก”
ซ่งฝูหลิง “…” เชยจัง ถ้ามัดผมเป็นโดนัททั้งสองข้างแล้วผูกด้วยด้ายแดง ยามหน้าหนาวแก้มทั้งสองข้างแดงก่ำคงจะน่ามองสินะ
ซ่งฝูเซิงอุ้มเฉียนหมี่โซ่วใส่ลงไปในตะกร้าอีกครั้ง พาเขาเดินหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้วก็ต้องอุ้มใส่ตะกร้าแบกหลังไปอีกสักพัก
เด็กน้อยเดินไม่ไหวก็ไม่ยอมบอก หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาซูบผอมลงไปมาก เมื่อเห็นแขนและขาของเขาลีบเล็กเช่นนี้ ก็เริ่มกังวลว่าขาทั้งสองของเขาจะไม่แข็งแรง
ตั้งแต่วันนี้ไปต้องหาวิธีการให้เขาได้กินข้าวจนอิ่ม และแอบหาของกินดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายให้หมี่โซ่วได้กินมากหน่อย
“ต้องซื้อรองเท้าผ้าฝ้ายให้หมี่โซ่วคู่หนึ่ง ซื้อแบบสำเร็จรูปและพอดีเท้า ไม่ต้องรอให้พี่สาวทำ อย่างมากก็ใช้เงินไม่เท่าไร ทุกครั้งที่เขาวิ่งมาหาข้า รองเท้าก็ชอบหลุดกลางทาง”
เฉียนเพ่ยอิงพูดขึ้น “ได้สิ ซื้อรองเท้ามาสักหนึ่งคู่แล้วค่อยไปเลือกผ้า ถ้าพี่สาวไม่มีเวลาว่างทำ ข้าก็จะเย็บเสื้อผ้าให้กับหมี่โซ่วเอง เด็กตัวแค่นี้ ทำเสื้อผ้าให้อบอุ่นและสวมใส่สบายก็พอ ไม่ต้องกังวลกับรูปแบบมากนัก”
นางครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนพูดเสริมขึ้นมาอีก “ซื่อจ้วงกับหนิวจั่งกุ้ยก็ไม่ต้องตัดเสื้อผ้าเพิ่มแล้วเพราะเสื้อผ้าที่เอามาจากท่านก็ยังสวมใส่ได้พอดีตัว แต่ลูกชายคนที่สองของพี่ใหญ่ เสื้อกันหนาวดูจะบางเกินไป ต้ายากับเอ้อร์ยาก็เหมือนกัน เสื้อผ้ามีแค่ชั้นเดียวด้านในก็ไม่ใช่ผ้าฝ้าย เฮ้อ มองเด็กสาวสองคนนี้หนาวจนตัวสั่น พวกเราควรจะซื้อให้ดีไหม?”
ซ่งฝูเซิงถลึงตาใส่ “พ่อแม่ของเขายังอยู่ไม่ใช่หรือ? อย่าทำแบบนี้ให้คนอื่นเกิดความเคยชิน ถ้าวันหนึ่งเจ้าไม่ให้แล้ว เดี๋ยวก็เกิดเรื่อง หาปัญหามาให้เจ้า น่าสงสารหรือ? พ่อแม่ยังทนมองดูได้ เจ้าจะอดทนไว้บ้างไม่ได้หรืออย่างไร นั่นเป็นลูกสาวของเจ้าหรือไง?”
“ข้ารู้แล้ว”
ที่ซ่งฝูเซิงพูดออกมาไม่ใช่ว่าเขาใจดำ พวกเขาทั้งหมดร่วมเดินทางกันมามีทั้งที่เป็นญาติและไม่ได้เป็นญาติกัน แต่ก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ต่อไปยังต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีก จะเลือกช่วยเหลือใครคนใดคนหนึ่งก็ไม่ได้
ถ้าสิบสี่ครอบครัวต่างลำบาก เขาทำงานได้เงินมากที่สุดก็ต้องให้ความช่วยเหลือทุกคนทั้งหมดเลยหรือ? ไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดความเคยชินจนเป็นนิสัย ถ้าเป็นเขารับรองไม่มีทาง ทำเช่นนั้น
แต่สามารถรอจนแบ่งงานกันทำแล้ว อย่างเช่นบ้านไหนที่เดือดร้อนเรื่องอะไร ยกบ้านซ่งฝูกุ้ยเป็นตัวอย่าง ครอบครัวเขามีคนเยอะ ซ่งฝูกุ้ยไม่มีเงินซื้อผ้ามาทำผ้าห่มก็สามารถยืมเงินได้ ยืมเงินก่อนแล้วค่อยมาใช้แรงงานทำงานทดแทนเงินในภายหลัง
ในความคิดของซ่งฝูเซิง ถ้าต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็ต้องรู้จักขยันทำงาน ไม่ใช่บอกให้ใครต้องเข้ามาช่วย ตนเองไม่ขยันทำงานจะมาหวังพึ่งพาคนอื่นให้ช่วยได้อย่างไร เพราะพวกเขาก็ไม่ได้ติดค้างอะไรกันกับเจ้า
“พอแล้ว รู้แล้วน่า พูดมากเสียจริง เจ้ายังต้องซื้อใบยาสูบให้กับลุงซ่งอีกนะ”
“นั่นมันคนละเรื่องกัน นี่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว ข้าพอใจ นี่แล้วพวกเราจะซื้ออะไรให้ท่านแม่ดีล่ะ ครอบครัวของพี่ใหญ่กับพี่รองไม่เกี่ยวกับเรา แต่ข้าต้องมีความกตัญญูต่อท่านแม่”
ซ่งฝูหลิงบอกกับพ่อของนาง ท่านย่าของนางชอบเงิน นางให้เงินท่านย่าไปครึ่งพวง ท่านพ่อก็ไม่ต้องกังวลแล้ว
ซ่งฝูเซิงเข้าใจในทันที ลูกสาวของเขาแอบเก็บเห็ดมัตสึตาเกะดอกใหญ่ไว้หลายดอกในพื้นที่พิเศษ ในส่วนนั้นไม่นับรวมว่าเป็นของส่วนกลาง เขาให้ลูกสาวเก็บไว้ เมื่อขายเป็นเงินจะได้มีเงินไว้ใช้ส่วนตัว ลูกสาวมีอำนาจในการตัดสินใจเอง
ทำเป็นล้อเล่นไป แม้ภายในครอบครัวจะยากลำบากอย่างไร แต่ก็ไม่เคยให้เงินลูกใช้จนขาดมือ นางโตเป็นสาวแล้ว ถ้าไม่มีเงินเวลาออกไปข้างนอกก็ขาดความมั่นใจ เขาจะไม่ทำให้ลูกสาวของเขาเป็นเช่นนั้นเป็นอันขาด
ส่วนเรื่องที่เห็ดมัตสึตาเกะที่มีราคาสูงนั้น สามารถขายได้ราคาดีหรือไม่และเมื่อเข้าเมืองไปแล้วจะขายได้ที่ไหนนั้น?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...