ขณะที่พวกเขาทั้งสามคนค่อยๆ ปีนออกมาจากห้องใต้ดิน ท่านลุงซ่งก็พูดขึ้นมาว่า
“ข้าไม่รู้ว่ามันจะสามารถทำเงินได้หรือไม่…
…พวกเขาก็ไม่มีอย่างอื่น มีเพียงเรี่ยวแรงเท่านั้น ยามพวกเขาว่างก็ว่างจริงๆ นอกจากทำงานแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร…
…แต่ครั้งนี้เจ้าต้องฟังข้า จำเป็นต้องฟังข้า…
…ฝูเซิง ข้าไม่อยากให้เจ้าถูกเอาเปรียบอีก วิธีการปลูกก็มาจากหนังสือของเจ้าที่กว่าจะได้มา ถ้าสามารถทำเงินได้จริง เจ้าต้องเก็บอย่างน้อยไว้สี่ส่วน ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ไม่กล้าสู้หน้าเจ้า ข้าก็เหมือนพาพวกเขามาเป็นภาระคอยฉุดรั้งเจ้า”
ซ่งฝูเซิงรีบหันไปมองภรรยา เขาสบสายตากับเฉียนเพ่ยอิงสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ถ้าสามารถขายกุยช่ายขาวได้จริง ทุกคนช่วยกันทำงานจนถึงปีใหม่ ครอบครัวหนึ่งอย่างน้อยก็สามารถสร้างรายได้สองตำลึง เก็บไว้เป็นเงินสำหรับใช้จ่ายในบ้านได้ ส่วนข้าก็จะเก็บไว้สามส่วน…
…เก็บแค่สามส่วน ท่านลุง เมื่อต้นปีมีแต่เรื่องวุ่นวาย ข้าจะได้มากหน่อย-น้อยหน่อยก็ไม่เป็นไร…
…นอกจากนี้ข้ายังคิดถึงเรื่องหนึ่ง นี่เป็นสูตรวิธีทำของตระกูลเฉียน ทุกคนยังต้องช่วยข้าทำงาน…
…แต่การค้าขายนั้น ข้าคิดไว้ว่าจะเก็บมากหน่อยอย่างน้อยก็ห้าส่วน เพราะเป็นเมล็ดเพาะปลูกที่ตระกูลเฉียนได้มายาก สถานที่ที่พวกเราอยู่นี้ก็ไม่มี ข้าต้องเก็บให้หมี่โซ่วไว้อย่างน้อยสามส่วน”
“ได้สิ ตกลงตามนี้ โอ้ว ให้พวกเขาปลูกกุยช่ายขาวใช้เวลาสองถึงสามเดือนก็ได้เงินสองตำลึงแล้ว พวกเราอยู่หมู่บ้านเดิมก็ไม่มีเรื่องดีๆ แบบนี้ นี่ยังเป็นเมล็ดพันธุ์ที่หาได้ยากอีก ข้าคิดว่าให้แค่เงินเดือนกับทุกคนที่แบ่งงานกันทำก็พอ ไม่ต้องแบ่งแบบนี้”
“ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ปลูกกุยช่ายขาวก่อน”
ในขณะเดียวกัน
เหล่าซิ่วไฉเริ่นโยวจินก็สอบถามกับลูกชายคนโตว่า “คนพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
เริ่นคนโตก็นำเรื่องเงินหนึ่งร้อยสามสิบเก้าตำลึงที่ได้ยินมาและตอนที่เขาพูดคุยกันในตอนนั้นมาเล่าให้ฟัง
เมื่อได้ยินลูกชายคนโตพูดถึงคนกลุ่มนั้นว่าเป็นคนมีฐานะ เหล่าซิ่วไฉก็รู้สึกว่าลูกชายคนโตของเขาช่างเป็นคนโง่เขลาเสียจริง
“หนึ่งร้อยสามสิบเก้าตำลึงจะพอเอาไปทำอะไรได้มากมายหรือ? คนพวกนั้นมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่อย่างน้อยก็ต้องใช้เงินหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง เจ้าแค่ได้ยินเงินหนึ่งร้อยตำลึงก็คิดว่ามีเงินมากแล้ว ทำไมถึงไม่ใช้สมองคิดล่ะ ว่าพวกเขามีจำนวนคนเท่าไหร่?…
…ข้าให้เจ้าส่งกระดาษให้เขา ใครบอกให้เจ้าเตือนพวกเขาว่าสามารถลดราคาได้เท่าไหร่? พูดเรื่องพวกนั้นไปทำไมกัน”
ลูกชายคนนี้ของเขาช่างโง่เขลานัก ต่อไปคนพวกนั้นก็จดจำได้เพียงบุญคุณเงินส่วนลดเหรียญครึ่งพวง
“ท่านพ่อ ถ้าไม่บอกกับพวกเขา พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราช่วยพวกเขาประหยัดเงินไปเท่าไหร่”
“แค่สินน้ำใจต้นเดือนนี้ พ่อของเจ้าแนะนำช่างขุดบ่อน้ำให้พวกเขา สินน้ำใจนี้ถ้าไม่มีคนรับงานขุดบ่อน้ำ ต่อให้จ่ายเงินเท่าไหร่ก็ไม่มีคนยอมทำ ข้าช่วยออกหน้าให้พวกเขา เจ้าไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำให้คนหัวเราะเยาะเอาได้ หน้าของพ่อเจ้ามีค่าเพียงเงินครึ่งพวงหรือ?”
เริ่นคนโตค่อนข้างขี้ขลาด เขาถูกอบรมก็ไม่กล้าต่อปากต่อคำ
เหล่าซิ่วไฉรับรู้ได้ถึงความเงียบงัน ก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยใจมากขึ้น
ทุกครั้งเมื่อถึงช่วงเวลานี้ ก็ทำให้เขาคิดถึงหลานชายคนโตที่เคยเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก
ในชีวิตนี้เขาเคยอบรมสั่งสอนคนเพียงสามคน
คนแรกเป็นหลานชายคนเล็กของตนเอง หลานชายเกิดมาก็มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่ร่างกายกลับอ่อนแอ โชคชะตาชีวิตไม่ดี เมื่อสอบได้ซิ่วไฉจนมีชื่อเสียงก็ได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว
อีกคนหนึ่ง คือ เริ่นจื่อเซิง เป็นบัณฑิตที่ตระกูลพวกเขาคอยให้การสนับสนุน แต่หลังจากสอบได้ตำแหน่งจวี่เหรินแล้ว เขาก็ทรยศหักหลัง เรื่องแรกที่ทำคือช่วยให้พ่อแท้ๆ ของตนเองแย่งตำแหน่งของเขาไป เหมือนหมาป่าเลี้ยงไม่เชื่อง
อีกคนที่เหลือก็ คือ หลานชายคนโตของตนเอง
หลานชายเสียไปตั้งนานแล้ว ต้องโทษว่าเป็นความผิดเขา
ไม่สิ ต้องโทษเริ่นจื่อเซิง เริ่นกงซิ่น เป็นเพราะพวกเขาบีบบังคับให้เขาย้ายบ้านมาอยู่ในสถานที่ที่พวกอพยพลี้ภัยมาอาศัยอยู่ในตอนนี้
ตอนนั้นมีชาวบ้านย้ายมาพร้อมกับเขา ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงเชื่อมั่นในตัวเขา และไม่ยอมรับในตัวเริ่นกงซิ่น
ใครก็คาดคิดไม่ถึงว่าปีนั้นจะเกิดภัยแล้งและไม่รู้ว่าหมาป่าลงมาจากภูเขาได้อย่างไร มันมากัดหลานชายคนโตจนขาหัก ไม่สามารถรักษาให้หายได้ หลังจากนั้นสองวันก็เสียชีวิตไปแล้ว และยังไล่ตามกัดชาวบ้านที่ติดตามเขามาจนบาดเจ็บและล้มตายไปสี่คน
เขาจำเป็นต้องยอมย้ายออกไป
หลังจากกลับมาที่หมู่บ้านแล้ว ก็ต้องดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำหมู่บ้าน แต่ก็ถูกเริ่นกงซิ่น แย่งตำแหน่ง จนเขาไม่มีอำนาจในการออกเสียงอีกต่อไป
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ เหล่าซิ่วไฉเริ่นโยวจินก็รู้สึกโกรธแค้นมาก จนนอนหลับไม่สนิท
เริ่นโยวจินหยิบหนังสือที่หลานชายเขียนไว้เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ เขาใช้ตะเกียงน้ำมันส่องดูอย่างละเอียด
เริ่นคนโตเห็นพ่อของตนเองเป็นเช่นนี้ เขานั่งบนตั่งพร้อมกับถอนหายใจ เขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก
แต่คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะพูดขึ้นมาอีก “เล่าสิ่งที่เจ้าเห็นมาสิ พวกเขาใช้ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...