เริ่นหลี่เจิ้งนั่งหรี่ตาอยู่บนเตียง จิตใจสับสน
นี่มันอะไรกัน?
หูของเขามีปัญหาหรือเปล่า?
เมื่อครู่ที่ลูกชายคนโตพูดออกมาหมายความว่าอะไร
ถ้าลูกชายคนโตพูดความจริง…
ไม่…ไม่ใช่…
เริ่นกงซิ่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
เขาทุจริตข้าวสารเพียงเล็กน้อย รวมมูลค่าแล้วก็ไม่กี่ตำลึงเงิน เงินเพียงแค่นี้ทางการต้องเข้ามาดูแลด้วยหรือ
และที่ออกมาควบคุมดูแล คือ จวนกั๋วกง
นี่ยิ่งดูเหมือนเป็นเรื่องตลกมาก
จวนกั๋วกงคงว่างมากจนไม่มีเรื่องอะไรทำ ข้างนอกมีพวกทุจริตเงินหลายพันหลายหมื่นตำลึงก็ไม่ออกไปจับ ทำไมต้องมาจับคนแก่อย่างเขาเพื่อเค้นเอาความจริงอยู่ได้ อีกทั้งยังถามถึงเรื่องข้าวไม่ขัดสีอีกต่างหาก
อย่าว่าแต่จวนกั๋วกงเลย แม้แต่นายอำเภอก็ยังไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้
เริ่นกงซิ่นคิดถึงตรงนี้ เขาก็มองลูกชายคนโตและรู้สึกพูดไม่ออก
แรงคงหมดสิ้น คิดถึงตรงนี้ก็มองไปที่ลูกชายคนโต คิดจะพูดออกมาแต่ก็ต้องสงบปากไป
นี่เป็นเรื่องที่ลูกชายคนโตพูดออกมา ถ้าเป็นคนอื่นพูด เขาคงจะตบปากและไล่ตะเพิดออกไปแล้ว พูดโกหกในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ถ้าไม่เชื่อ ลองถามคนในหมู่บ้านแล้วพูดอีกรอบ จวนกั๋วกงเข้ามาดูแลเรื่องทุจริตข้าวสารไม่ขัดสี ใครได้ยินก็ไม่เชื่อ ทำให้คนหัวเราะจนฟันแทบหลุด
เริ่นจื่อจิ่วกับเริ่นจื่อเฮ่ามองเริ่นจื่อเซิงด้วยความรู้สึกว่าพี่ชายคนโตของเขาใกล้จะเป็นโรคประสาท
ทั้งสองคนถามขึ้นพร้อมกันด้วยความสงสัย “พี่ใหญ่ ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?”
โง่เขลา ช่างโง่เขลาเบาปัญญาเสียจริง ไม่รู้จะพูดกับพวกเขาอย่างไรแล้ว ก่อนตายก็คงจะไม่รู้ว่าตายเพราะอะไร
เริ่นจื่อเซิงบอกความจริงกับท่านพ่อและน้องชายทั้งสองว่า อย่าสงสัยในคำพูดของเขา
ทันใดนั้นถ้วยน้ำชาในมือก็ถูกขว้างลงพื้น บ่งบอกว่าเขาโกรธมากจนอดกลั้นไม่ไหว
เพล้ง…เสียงถ้วยน้ำชาแตก
ถ้วยชาตกอยู่ข้างเท้าของภรรยาน้อยที่เริ่นหลี่เจิ้งแต่งงานใหม่ ทำให้ฮูหยินน้อยคนใหม่คนนี้ตกใจร้องออกมา
“ไสหัวออกไป” เริ่นจื่อเซิงตะโกนขึ้นมา สายตาไม่แลฮูหยินน้อยคนนั้น
เริ่นหลี่เจิ้งมองสีหน้าของลูกชาย เมื่อรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง อารมณ์ในใจที่สงบก็เกิดการแปรปรวน จิตใจก็เหมือนดิ่งลงเหวในทันที
“จื่อเซิง เจ้าอย่าเพิ่งโกรธไป พ่อถามเจ้าครั้งสุดท้าย มันเป็นเรื่องจริงหรือ? ที่จวนกั๋วกงจะลงมาจัดการข้า?”
“ท่านพ่อ ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลข้าจะมาที่บ้านทำไม? ท่านรีบบอกข้ามาเถอะ ท่านยังสร้างความลำบากอะไรให้กับพวกเขาอีก ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ข้าจะไปพูดคุยกับพวกเขา จะได้รู้เขารู้เรา…”
เริ่นจื่อเซิงพูดยังไม่ทันจบ
“เอิ๊กกก” เริ่นหลี่เจิ้งเรอออกมาหนึ่งครั้ง ร่างกายก็อ่อนยวบลง หงายหลังด้านหลังศีรษะกระแทกกับเตียงตั่ง
“ท่านพ่อ” เริ่นจื่อเซิงรีบเดินเข้าหาเพื่อไปพยุงเริ่นหลี่เจิ้ง
เริ่นจื่อจิวกับเริ่นจื่อเฮ่าวิ่งเข้ามา “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไหม ศีรษะเป็นอย่างไรบ้าง”
เริ่นหลี่เจิ้งนอนหงายอยู่บนเตียง เขาไม่รู้สึกปวดด้านหลังศีรษะ ตาสองข้างจ้องมองไปที่เพดาน ปากสั่นไม่หยุด
ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งหลี่เจิ้ง เริ่นกงซิ่นก็ตั้งใจเรียนรู้การทำตัวเป็นข้าราชการ เขาเลียนแบบข้าราชการที่พูดออกมาเพียงครึ่งเดียว ไม่พูดออกมาหมด ทำท่าทางเจ้ายศเจ้าอย่าง
เริ่นกงซิ่นจับแขนเริ่นจื่อเซิงด้วยดวงตาแดงก่ำ นัยน์ตาเอ่อไปด้วยน้ำตา
“ลูกชายคนโต เจ้าต้องช่วยพ่อนะ ข้าคิดไม่ถึง ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ…
…ข้าเพียงแต่คิดว่า พวกเขาเป็นพวกอพยพลี้ภัย มีป้ายสีแดงสดแล้วจะทำอะไรได้…
…ป้ายสีแดงสดบ่งบอกว่าพวกเขามีเงิน…
…แต่มีเงินแล้วจะทำอย่างไรได้? เมื่อมาถึงพื้นที่ของข้าก็ต้องฟังคำสั่งข้า…
…ข้าคิดแต่เพียงว่า นอกจากพวกเขาจะมีเงินบ้างแล้ว พวกเขาก็ไม่มีญาติพี่น้องแม้แต่คนเดียว อยู่ต่างถิ่นไม่มีคนรู้จักพวกเขาจะสามารถทำอะไรได้…
…ข้าแค่ต้องการให้พวกเขาลำบากหน่อย ทำให้พวกเขาลำบาก พวกเขาก็ไม่ได้อดตาย พวกเขามีเงินสามารถซื้อได้…
…ใช่แล้ว ข้าไม่คิดว่าจะให้พวกเขาอดตาย พวกเขามีเงินซื้อ แค่ไปซื้อก็ได้แล้ว ทำไมถึงต้องร้องเรียนข้าด้วย…
…สิ่งที่ข้าทำผิดเรื่องนี้ไป ก็เพราะคิดถึงอนาคตที่จะได้ควบคุมพวกเขาได้ง่าย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เริ่นกงซิ่นจับแขนลูกชายหลายคน เขาไม่สนใจอาการเวียนหัวรีบลุกขึ้น มา น้ำมูกน้ำตาไหลเป็นทาง เขายังพูดกับลูกชายคนโต
“ข้าจะขนกลับไปคืนพวกเขาให้หมด ส่งคืนกลับไปก็ไม่ได้หรือ? เจ้าอย่าให้เจ้าหน้าที่มาจับข้านะ…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...