ทะลุมิติทั้งครอบครัว นิยาย บท 202

ตอนนี้ซ่งฝูเซิงกำลังสอนให้ลูกสาวทำนา

วันนี้ซ่งฝูหลิงได้ความรู้ใหม่ ศึกษาเรื่องที่ตัวเองไม่เคยเข้าใจมาก่อน

สิ่งแรกที่จะต้องทำให้เข้าใจก็คือ หลุมกับโพรงไม่เหมือนกัน

หลุม ก็คือสิ่งที่ตั้งฉากกับพื้นดิน เวลาขุดจะเริ่มจากพื้นดิน แล้วขุดหลงไปตรงๆ ขุดให้ลึกมากๆ เมื่อยืนอยู่ปากหลุมมองลงไปข้างใน จะเห็นแค่ความมืดดำ มองภายในไม่เห็นอะไร

ทุกครั้งที่ลงไปเอาผักจากหลุม ท่านพ่อจะบอกว่า จะต้องเปิดฝา เปิดหลุมระบายอากาศก่อนถึงจะใช้บันไดพาดลงไปเอาผักได้ เพราะหลุมข้างในไม่มีที่ระบายอากาศจึงมักจะไม่มีออกซิเจน ถ้าคนลงไปทันที อาจจะตายได้เลย

และก็คล้ายกันตรงที่ เวลาปลูกผักก็ต้องการออกซิเจน ดังนั้นหากพวกเราขุดดินให้เป็น

หลุม ก็จะไม่สามารถที่จะปลูกผักได้

โพรง ไม่เหมือนหลุม โพรงไม่ได้ขุดแบบตั้งฉาก แต่เป็นการขุดเหมือนกับเจาะถ้ำ วิธีการขุดจะแตกต่างกันออกไป

บ้านใครต้องการโพรงใหญ่ขนาดไหน ก็สามารถขุดให้ใหญ่เท่าที่ต้องการ พูดง่ายๆ ก็คือ ตัวบ้านมักจะปลูกบนดิน แต่โพรงจะอยู่ใต้ดิน ขุดตามขนาดของบ้านแต่อยู่ใต้ดินเท่านั้น บ้านของพวกเราทำอะไรได้ สามารถก่อเตา ทำอาหาร มีห้องนอนได้ ในโพรงก็ทำได้เหมือนกัน

ข้างในโพรงจะต้องมีช่องระบายอากาศ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเปิดฝาระบายอากาศถึงจะปลูกผักได้

“ท่านพ่อ ทำไมในบ้านมักจะมีโพรงและก็มีหลุม ใครขุดไว้หรือ?”

ซ่งฝูเซิงไม่เข้าใจความคิดของซิ่วไฉผู้สูงวัยกับหลี่เจิ้งของหมู่บ้านเหรินจยา แต่ว่าเขาก็สามารถเดาได้

เขาดูจากข้างในโพรง มีก้อนอิฐที่เหลืออยู่หลายก้อน ในนี้น่าจะเคยมีการก่อเตา ต่อมาเตาคงพังลง จึงคาดการณ์ว่าที่นี่เคยมีคนกลุ่มหนึ่งย้ายมาในช่วงฤดูหนาว

ฤดูหนาวของทางเหนือไม่สามารถปลูกบ้านได้ เพราะข้างบนพื้นดินกลายเป็นน้ำแข็ง จึงขุดดินตั้งเสาไม่ได้

ต่อมาคนกลุ่มนี้จึงขุดโพรงเพื่อใช้พักแรมไปก่อน และจำนวนคนน่าจะมีไม่น้อย หลายครอบครัวอยู่ด้วยกัน โพรงที่ขุดไว้จึงมีขนาดใหญ่

ต่อมาคนก็อาศัยพักแรมจนถึงฤดูใบไม้ผลิ จึงมีการสร้างบ้านขึ้นที่ข้างบน

ซ่งฝูเซิงเดาได้แม่นยำ ในปีนั้นเหตุการณ์คงเป็นเช่นนี้ไม่ผิดเพี้ยน

ซ่งฝูหลิงถามกลับ

“แล้วทำไมด้านบนพื้นดินไม่อบอุ่น ทำไมไม่มีบ้านอยู่จะต้องขุดโพรงใต้ดิน เป็นเพราะ

เหตุผลใด”

เพราะเหตุใดน่ะหรือ เพราะในโพรงไม่ต้องใช้ไฟให้ความอบอุ่น แต่อุณหภูมิอบอุ่นกว่าบ้าน ทำไมจะต้องเอาผักกับผลไม้วางไว้ในหลุมหรือ เพราะในหลุมเก็บรักษาอายุผลไม้ได้เป็นเวลานานกว่า

ซ่งฝูเซิงอธิบายให้ลูกสาวฟังว่า

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ข้างในโพรงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องอบอุ่นกว่า แต่มันยังสามารถรักษาอุณหภูมิให้คงที่ได้ด้วย…

…ในฤดูร้อน ไม่ว่าอากาศข้างนอกจะร้อนขนาดไหน อย่างเช่น ข้างนอกอุณหภูมิยี่สิบองศา แต่ในหลุมจะมีอุณหภูมิแค่สิบแปดองศา อากาศข้างในหลุมจะไม่เปลี่ยนไปตามอากาศข้างบนผิวดิน จะมีอุณหภูมิสิบแปดองศาเท่านั้น…

…และด้วยเหตุผลคล้ายกันนี้ ในฤดูหนาวอุณหภูมิติดลบสามสิบองศา แต่ภายในหลุมก็ยังมีอุณหภูมิแค่สิบแปดองศาเหมือนเดิม…

…อุณหภูมิคงที่ก็คือการรักษาระดับอุณหภูมิให้เท่าๆ กันเสมอไม่เปลี่ยนแปลง…

…ดังนั้น ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน อากาศในฤดูร้อนยังดี แต่ถ้าฤดูหนาวจะสร้างบ้านไม่ได้ มนุษย์อย่างพวกเราก็เลยต้องขุดโพรงเพื่อพักอาศัยไปก่อน ถึงแม้จะขาดฟืนก่อไฟ อย่างน้อยในโพรงข้างในก็ไม่หนาวตาย อุณหภูมิยังเป็นสิบแปดองศาเท่าเดิม…

…จะสร้างบ้านบนพื้นดินก็ไม่ได้ ถ้าบ้านบนดินไม่มีการก่อไฟให้ความอบอุ่น อากาศข้างในบ้านจะได้ผลกระทบจากอากาศข้างนอกบ้าน ทำให้คนหนาวตายได้เลย”

นอกจากนี้ ซ่งฝูเซิงยังแอบกระซิบกับลูกสาวว่า

“ในอดีตตอนยุคห้าศูนย์ จะมีการส่งกองกำลังไปที่ภาคเหนือหรือส่งไปที่ใดก็ตาม หรือแม้แต่คนพลัดถิ่น ในฤดูหนาวหากไปที่ภาคเหนือ จะไม่มีบ้านคน หากจำนวนคนเยอะก็จะขุดโพรงอยู่กันไปก่อน…

…บ้านท่านปู่ของเจ้าที่อยู่ทางด้านหน้า ข้างในบ้านไม่เหมือนกับบ้านหลังอื่น มันมีโพรงเชื่อมต่อกันไปมา เพื่อเตรียมที่พักให้คนงานที่จะขุดดิน…

…ดังนั้น บ้านของท่านปู่จึงปลูกกระเทียมเหลืองได้ แต่บ้านคนอื่นทำไม่ได้ จึงถูกคนอื่นอิจฉาริษยาและไปร้องเรียนเรื่องนี้กับทางการ”

ซ่งฟูหลิงรีบลุกมาแต่เช้าเพื่อช่วยท่านพ่อของนางทำงาน ทำให้เข้าใจความรู้ข้อแรกนี้

ความรู้ที่สองก็คือ การทำนา

ชีวิตของชาวนา ถึงแม้จะไม่ได้ทำนาบนผืนดิน แต่ก็สามารถทำนาจำนวนมากอยู่ข้างในโพรงได้ ซ่งฝูเซิงไม่หยุดที่จะทำงานและสอนลูกสาวเรื่องปลูกกระเทียมไปด้วย

เขาเห็นดินในโพรงถูกปรับจนเรียบ จะต้องปรับจนดินเรียบถึงปลูกพืชได้

“ท่านพ่อ หัวกระเทียมทำไมต้องแช่น้ำก่อนหนึ่งคืนค่อยนำมาปลูก”

“จะต้องให้หัวกระเทียมดูดออกซิเจนก่อนมันจึงจะงอกได้เร็ว เวลาเลือกหัวกระเทียม ต้องเลือกหัวที่มีขนาดใหญ่ เพราะจะงอกเป็นต้นอ่อนได้เร็ว ความจริงคือถ้าปลูกปริมาณน้อย เราสามารถเสียบลงในดินกี่หัวก็ได้ ไม่ต้องแยก ไม่ต้องแช่น้ำ ไม่ต้องเสียเวลา แต่ว่าพวกเราต้องการปลูกเพื่อขาย ทุกกลีบของกระเทียมจึงมีราคา เพราะฉะนั้นจะต้องแบ่งหัวกระเทียมทุกหัวออกและทำให้มีราก ทำอย่างนี้ ถึงต้องเสียเวลาเอาไปแช่น้ำก่อน”

“อ๋อ ท่านพ่อ ข้ารู้จักแต่ต้นอ่อนของกระเทียมมีสีเขียว แล้วกระเทียมเหลืองของพวกเรากับต้นอ่อนของกระเทียม มันมีอะไรที่แตกต่างกัน?”

“ไม่มีอะไรแตกต่าง มีที่แตกต่างอยู่อย่างเดียวก็คือ กระเทียมเหลืองจะต้องปลูกใต้ดิน หากถูกแสงแดดมันจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว…

…วันนี้สภาพแวดล้อมของพวกเราไม่เหมาะสมที่ปลูกบนดิน ถ้าปลูกบนดินจะต้องทำกระโจมกระดาษแก้ว การทำกระโจมมีราคาแพง แล้วยังต้องดังไฟให้ความอบอุ่น กระเทียมถึงจะโตเร็วดังนั้นพวกเราจึงเลือกปลูกกระเทียมเหลือง…

…ข้อแรกคือ ในโพรงมีอากาศอบอุ่น ข้อที่สอง กระเทียมเหลืองดูแลไม่ยาก อยู่ใต้ดิน ไม่มีแสงแดดก็เจริญเติบโตได้ ทำไมจึงเรียกกระเทียมเหลือง เพราะไม่มีแสงแดด ใบจึงเปลี่ยนเป็นสีเขียวไม่ได้ มีแต่ใบสีเหลือง ดังนั้นจึงเรียกว่ากระเทียมเหลืองอย่างไรล่ะ”

ซ่งฝูเซิงแสดงให้ลูกสาวดู สอนซ่งฝูหลิงให้นำกระเทียมเหลืองที่แช่ในน้ำแยกกลีบออกให้สมบูรณ์

“แล้วต้องปลูกอย่างไร?” ซ่งฝูหลิงอยากเรียนขั้นต่อไปแล้ว “เจ้าต้องปลูกอย่างนี้ นำหัวกระเทียมปักลง ยอดกระเทียมชี้ขึ้นข้างบน ปักลงบนดินอย่างนี้”

วิธีปลูกง่ายอย่างนี้นี่เอง เกือบจะทำให้ซ่งฝูหลิงเหนื่อยจนแทบขาดใจ

เพราะข้างในโพรงจะเหลือไว้เฉพาะทางสำหรับรดน้ำ ส่วนพื้นที่ที่เหลือจะปลูกกระเทียมเหลืองทั้งหมด หัวต่อหัว อย่าให้มีช่องว่างและต้องเป็นระเบียบสวยงาม

ปลูกแล้วก็ปลูกอีก จนบนพื้นดินเต็มไปด้วยหัวกระเทียม

นั่งปลูกอยู่ตรงนั้นนานจนเอวของซ่งฝูเซิงเริ่มแข็งเป็นเส้นตรง นั่งนานจนขาชา ก้มตัวลงปลูกบนดินซ้ำๆ ท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ สักพักจึงเหนื่อยจนทนไม่ไหว แต่เหนื่อยจนไม่ไหวก็นั่งบนพื้นดินไม่ได้ ไม่ใช่เพราะพื้นดินนั้นเย็นยะเยือกแต่เพราะต้องระวังนั่งทับไปบนหัวกระเทียมต่างหาก ถ้านั่งทับลงหนึ่งครั้ง กระเทียมที่ปลูกก็จะถูกทำลายไปไม่น้อย เสียดายเวลาที่ปลูกไป

ใต้ต้นไม้บนภูเขามีแร่ธาตุ

จะพิสูจน์ได้อย่างไร ซ่งฝูเซิงบอกว่า “ดูจากดอกไม้ที่อ่อนแอ หมูตัวใหญ่ ดอกกล้วยไม้ต่างๆ ชาวนาชาวสวนจะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อขุดดิน เพราะดินตรงรากของต้นไม้มีแร่ธาตุ เจ้าลองคิดดู ดินพวกนี้ปลูกดอกไม้ได้ก็คงไม่มีปัญหาถ้าจะนำมาปลูกกระเทียม เจ้าคิดดู ดินพวกนี้จะยิ่งให้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ”

ซ่งฝูหลิงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา ใบหน้านางเต็มไปด้วยดินดำ ยิ้มกับท่านพ่อของนาง “อืม ยิ่งจะมีประโยชน์มากขึ้นจริงๆ”

ซ่งฝูเซิงนำดินที่มีแร่ธาตุเหล่าจากบนภูเขาเหล่านี้ เทกระจายลงบนหัวกระเทียม วิธีนี้เป็นวิธีการที่ต้องทำอย่างละเอียด ซ่งฝูหลิงใช้พลั่วค่อยๆ เทดิน นางเทดินลงบนพื้นบางที่เยอะเกินไป หัวกระเทียมจึงถูกฝังกลบจนมองไม่เห็น กระเทียมตรงนั้นไม่มีดินถม ดังนั้น ท่านลุงซ่งทนดูต่อไปไม่ไหวจึงเอ่บปากบอกให้ “พั่งยา ไปพักเถอะ”

“ไม่ๆ ท่านลุง ข้าไม่เหนื่อย”

ขั้นตอนต่อไปถึงจะรดน้ำ พวกเขานำกระเทียมสี่ร้อยจินมาปลูกจนเสร็จแล้วก็ต้องรดน้ำ ถ้าไม่รดน้ำกระเทียมจะไม่โต

ซ่งฝูเซิงบอกลูกสาว “รดน้ำครั้งแรกต้องรดให้ดี เจ้าจะปลูกผักอะไรก็ตาม ครั้งแรกที่รดน้ำต้องให้น้ำเปียกชุ่ม ต่อไปจะได้ไม่ต้องรดเยอะ เจ้าต้องคอยดู ถ้าดินเริ่มแห้งเล็กน้อยค่อยรดน้ำเพิ่ม”

และการรรดน้ำให้ต้นกระเทียมเหลือง จะต้องค่อยๆ รดจากด้านข้าง สิ่งนี้เป็นเทคนิคของตระกูลเฉียน ตอนนี้ท่านลุงเฉียนเป็นคนเรียนรู้มา เฉียนเพ่ยอิงบอกกับซ่งฝูเซิง

ไม่สามารถที่จะใช้น้ำเทลงตรงๆ จากข้างบน แบบนี้ไม่ได้ ปริมาณน้ำจะต้องเพียงพอ และท่วมหัวกระเทียมพอดี

ซ่งฝูหลิงลงมือทำงานไม่หยุด

เด็กผู้หญิงไม่สามารถทำงานที่ใช้แรงงานหนักๆ ได้ แต่พวกนางจะมีความละเอียดลออในการทำงานมากกว่าผู้ชาย

เมื่อปลูกกระเทียมถึงขั้นตอนสุดท้าย รดน้ำเสร็จแล้ว น้ำเปียกชื้นมากจนต้องเทดินลงอีกชั้นหนึ่ง

“เสร็จแล้วหรือ”

“เสร็จแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น ท่านพ่อ เมื่อไหร่มันถึงจะงอกออกมา?”

ซ่งฝูเซิงหยอกล้อลูกสาว “เจ้านี่ช่างใจร้อน? เจ้าค่อยๆ ดู อีกไม่นานมันก็จะงอกต้นอ่อนแล้ว”

คนที่ทำงานอยู่ในโพรงพากันหัวเราะพร้อมกัน “กระเทียมเหลืองชุดนี้เป็นชุดแรก ข้า

จะต้องเก็บไว้ให้ลูกสาวกินหนึ่งกำมือ ลูกสาวข้าขยันทำงาน ต้องให้ชิมฝีมือการปลูกผักของตัวเองว่าเป็นอย่างไร”

ทุกคนหัวเราะขึ้น “ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนั้น เมื่อถึงตอนนั้น จะเอามาผัดให้พั่งยากินหนึ่งจาน”

ซ่งฝูหลิงหัวเราะชอบใจ ในหัวใจมีความรู้สึกตื่นเต้นและเฝ้ารอที่จะกินผักที่ตัวเองปลูก

ต้ายา เอ้อร์ยา และลูกสาวสองของกัวคนโตก็กำลังทำงานในโพรง เด็กทั้งหมดพากัน

หัวเราะ แต่ในหัวใจกลับคิดว่า

ต้องถึงขนาดนั้นหรือ ทำไมแค่ปลูกผักก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว

พวกเขาแต่ก่อนก็รับผิดชอบการปลูกผักสวนครัวในบ้าน ตั้งแต่ปลูกจนเก็บเกี่ยวก็คืองานที่พวกเขาต้องจัดการ

แค่ไม่เคยปลูกกระเทียมเหลืองเท่านั้น

พอเปลี่ยนเป็นพั่งยาดู ท่านลุงสามดีใจถึงขนาดนี้เชียว เหมือนกับพั่งยาได้รับรางวัลเรียนดีก็ไม่ปาน

ณ เวลานี้ ซ่งจินเป่ายืนอยู่บนปากโพรง ตะโกนลงมา “ลุงสาม ลุงฝูกุ้ยบอกว่า มีคนแซ่สุย

แนะนำให้มาขายฟักทองกับเรา มีฟักทองหลายคันรถเลย ถ้าจะซื้อฟักทอง เขาจะให้ราคาถูก”

ยังไม่ทันรอคำตอบจากซ่งฝูเซิง ซ่งจินเป่าก็ตะโกนออกมา “แต่คนแซ่สุยไม่ได้มาด้วยนะ มีแต่คนขายฟักทองที่มา”

“ข้ารู้แล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว