ทะลุมิติทั้งครอบครัว นิยาย บท 209

ในคืนวันนั้นซ่งฝูเซิงยังทำตัวเหมือนเดิม คือรอให้เด็กบนเตียงเตาหลับหมด จากนั้นเขาจึงนั่งกินพริกภายใต้ผ้าห่ม

กัดพริกหนึ่งคำ ดื่มเบียร์หนึ่งคำ

กัดพริกหนึ่งคำ กินเนื้อวัวต้มซอสหนึ่งคำ

กัดพริกหนึ่งคำ กินเค้กนึ่งก่างหร๋งหนึ่งคำ

ถึงตอนนี้ เขาเผ็ดจนน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง ดวงตาของเขาแดงเพราะถูกพริกจนแสบไปหมด

เฉียนเพ่ยอิงก็อยู่ใต้ผ้าห่มเพื่อดูเหล่าซ่งว่าเขาจะแสบกระเพาะ และช่วยเอาเม็ดพริกแห้ง

ห่อด้วยกระดาษทิชชู สองคนกระซิบกระซาบกันเบาๆ

“กินไปกี่เม็ดแล้ว บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว กินไปถึงแปดเม็ดหรือยัง เลิกกินได้แล้วเดี๋ยวริดสีดวงก็ออกมาหรอก”

“ไม่เป็นไร ขอกินอีกสี่เม็ด” ซ่งฝูเซิงพูดเสร็จก็สูดอากาศเข้าปอดยาวๆ ไม่กล้าหายใจเหมือนปกติ รีบใช้มือแกะพริกแล้วยัดเข้าไปในปากครึ่งเม็ด เคี้ยวดัง กรุบๆ จากนั้นก็กัดเค้กตามหนึ่งคำ สุดท้ายดื่มเบียร์ อึกๆ เพื่อส่งเค้กกับพริกกลืนลงไป

เฉียนเพ่ยอิงบอกว่า “พรุ่งนี้ต้องคลุมเพิง ถ้าเร็วสุดก็ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวัน พรุ่งนี้กลางคืนยังพอมีเวลา เจ้ากินเพิ่มอีกไม่กี่เม็ดคงเพียงพอแล้ว พริกพวกนี้ แค่มีต้นอ่อนหนึ่งกำมือก็เพียงพอสำหรับปลูกแล้วล่ะ”

นางพบว่าซ่งฝูเซิงไม่ได้ฟังที่นางห้าม ยังกินพริกต่อ นางจึงพลิกตัวกลับไปเปิดถุงผ้าข้างหน้าต่าง ใช้หยิบวิตามินออกมาหนึ่งขวดจากความมืด

เฉียนเพ่ยอิงส่งวิตามินเข้าปากตัวเองหนึ่งเม็ด ยื่นมือไปส่งเข้าปากซ่งฝูหลิงอีกหนึ่งเม็ดและส่งขวดน้ำแร่ที่เปิดเตรียมไว้ให้ซ่งฝูเซิง ให้ซ่งฝูหลิงดื่มก่อนหนึ่งคำ ส่วนตนเองค่อยนำน้ำแร่มาดื่มตาม

เกือบลืมกินยาแล้ว

จำเป็นต้องกินยาทุกๆ วัน

เหล่าซ่งบอกว่า ภายในบ้านถ้ามีของอะไรที่เอาออกมาได้ และต้องกินเป็นประจำ ดื่มเป็นประจำ ของอะไรที่เป็นของใหม่ ถ้าเอามาแล้วใช้ได้ให้ต้องรีบใช้ อย่าปล่อยให้เปล่าประโยชน์

เขากลืนวิตามินลงคอ สายตาเฉียนเพ่ยอิงมองไปที่แสงไฟฉาย ความคิดผุดขึ้นมา มองไปทางด้านลูกสาวที่กำลังวาดรูปอย่างขมีขมัน นางพูดกับซ่งฝูเซิงว่าลูกสาวของท่านจะก่อเตาอบให้คล้ายกับคนฝั่งยุโรปใช้อบขนมปังแบบนั้น

ซ่งฝูเซิงกลืนเบียร์ที่เหลือจนหมดแล้ว เสียงดัง อึกๆๆ แล้วเรอเอาแก๊ซเบียร์ออกมา “นางรู้จักโครงสร้างภายในของเตาอบหรือ?”

“รู้จัก นางบอกว่าดูจากทีวี พวกเราก็ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงมีความอดทนนัก เจ้าคิดว่าถ้านางทำออกมาได้จริง ซาลาเปายังมีคนกินอีกกี่มื้อ ทุกคนจะต้องรอคอยกินขนมปังมากกว่า”

ซ่งฝูหลิงได้ยินท่านแม่กับท่านพ่อพูดถึงตัวเอง จึงเงยหน้าออกจากผ้าห่ม เอาไฟฉายซุกลงไปในผ้าห่มให้ลึกเพื่อไม่ให้แสงเล็ดลอดออกมา ไม่มีวิธีการอะไรที่จะซุกซ่อนไฟฉายได้ พวกเขาสามคนจะใช้ไฟฉายก็ต้องระวังระวังตัวอย่างมาก

ถึงแม้หน้าต่างจะมีกระดาษบุอีกชั้น และยังมีผ้าม่านป้องกันความชื้นอีกชั้น แต่ว่าความสว่างของไฟฉายกับตะเกียงน้ำมันแบบโบราณ เมื่อเปรียบเทียบกัน แสงสว่างของไฟฉายจะเยอะกว่า โดยเฉพาะเวลานี้ดึกมากแล้ว กลัวว่าถ้ามีใครมาเข้าห้องน้ำ จะพบพวกเขามีแสงไฟฉาย จึงต้องใช้ไฟฉายอยู่แค่ใต้ผ้าห่ม

“ท่านพ่อ พรุ่งนี้ข้าจะทำขนมปัง ขนมเค้ก ถึงแม้ที่นี่พวกเราอาศัยกินขนมปังกั่งหรง แต่ว่าหมี่โซ่วกินไม่ได้ ท่านย่าก็ไม่เคยกิน ข้าอยากทำออกมาให้พวกเขาชิม ถ้ามีเตาอบ ในอนาคตสามารถอบเนื้อไก่ เนื้อเป็ด กินได้อย่างสะดวก ท่านช่วยแบ่งห้องที่ไม่มีคนใช้งานให้ข้าที”

ซ่งฝูเซิงรู้ว่าลูกสาวของตัวเองทำกับข้าวได้ แต่ก็ทำไม่กี่ครั้ง

ก่อนหน้านี้ลูกสาวเคยจัดงานวันเกิด ผัดผักทำอาหารให้พวกเขากิน บอกว่าวันนี้เป็นวันเกิดตัวเอง ท่านพ่อท่านแม่ลำบากเลี้ยงนางมา จึงอยากขอบคุณบ้าง วันเกิดของตัวเองจะทำอาหารให้พ่อแม่กิน และพูดคำที่ไม่ค่อยพูดออกมานั่นก็คือ อาหาร พวกเขากินอย่างกล้ำกลืนฝืนทนจนหมด

แต่เด็กคนนี้มีอะไรแปลกๆ ทำอาหารอย่างเช่น เค้ก พิซซ่า ทาร์ตไข่ ขนมปัง ฯลฯ ทำแบบเข้าใจมากกว่าเขาอีกด้วย รสชาติดีกว่าเขาเยอะ ซึ่งบางอย่างเขาก็ไม่เข้าใจ

เพื่อให้ลูกสาวผ่อนคลาย เขาจะต้องแบ่งห้องให้ลูกสาวมากเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ

ฝูเซิง ด้วยความรักของลูกสาว จึงยื่นมือออกมาโดยไม่รู้ตัวเพื่อกอดลูกสาว

ลูกสาวที่ตอนนี้เพิ่งอายุสิบสามปี พ่อยังกอดได้

เขาใช้มือคลำไปที่ศีรษะเพื่อจัดทรงผมซ่งฝูหลิงที่เป็นระเบียบ ในแววตามีรอยยิ้มข้างใน“ทำเถอะ ทางด้านฝั่งตะวันออกของบ้านท่านยายหวังมีห้องเล็กๆ ข้ายกให้เจ้าแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ ห้องนั้นทำอะไรไม่ได้ ต้องรอฤดูใบไม้ผลิค่อยซ่อมแซมใหม่ เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อย ข้าไม่ยุ่งกับเจ้าแล้ว”

เขารู้สึกว่าลูกสาวช่างเป็นคนมีเมตตา อยากทำเตาอบเพื่อทำอาหารให้หมี่โซ่วกับท่านย่าหม่า ความเมตตานี้ จริงๆ แล้วลูกสาวบ้านอื่นก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับลูกสาวเขาได้

คนเป็นพ่อต้องสนับสนุน

แต่ก่อนทำได้แค่ให้เงินสนับสนุน

จากเหตุการณ์ในตอนนี้ เงินก็สามารถสนับสนุนได้ แต่ไม่รู้จะใช้อย่างไร สถานที่ก็ไม่คุ้นเคย ยังจะกล้าให้ลูกสาวไปทำอะไรแปลกๆ คงไม่ถูกต้อง

“รอให้ข้าคลุมเพิงให้เสร็จ นำต้นกล้าพริกไปปลูกก่อน แล้วจะไปซื้อนมสดให้เจ้า ข้าสอบถามมาแล้ว ต้องไปซื้อในหมู่บ้านที่ห่างจากเมืองเฟิ่งเทียนประมาณสิบกว่ากิโลเมตร มีหมู่บ้านเรียกว่า แหยนเสี๋ยน ในหมู่บ้านนั้นมีคนเลี้ยงวัวนมอยู่หลายหลัง”

เฉียนเพ่ยอิงรีบออกมาห้ามปราม “นางจะก่อเตาอบ จะเอามาอบแป้ง น้ำตาลก็พอแล้วเจ้ายังจะใช้นมสดอีก ครั้งก่อนข้าก็ห้ามเจ้าแล้วทำไมไม่ฟังคำห้ามปรามบ้าง วัวหนึ่งตัวพวกเราก็ถามแล้วไม่ใช่หรือ ราคาตั้งสิบสาม สิบสี่ตำลึง ในพื้นที่พิเศษของพวกเรายังมีนมผง และนมเปรี้ยว น่าจะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ถ้าอยากดื่มก็ดื่มจากตรงนี้เอา”

ซ่งฝูเซิงพูดด้วยน้ำเสียงธรรมชาติ ยี่สิบสามสิบตำลึงก็ต้องซื้อ ต้องให้ลูกได้ดื่มนมตลอดปีพวกเราก็ต้องดื่มเพื่อบำรุงแคลเซียม

ซ่งฝูเซิงชี้มือไปที่หมี่โซ่วที่กำลังหลับอย่างมีความสุข ตอนนี้หมี่โซ่วร่างกายอ่อนเพลียมาก พี่สาวใช้งานเขาไม่น้อย

“เจ้าดูแขนอันผอมแห้งของหมี่โซ่วสิ พวกเราจะต้องทำให้ลูกสาวอ้วนท้วนสมบูรณ์ ต้องบำรุงให้หมี่โซ่วรูปร่างสูงใหญ่ ลูกสาวกินนมเปรี้ยวจากพื้นที่พิเศษได้แต่หมี่โซ่วกินไม่ได้ ตอนนี้ข้าเป็นคนดูแลเขา ถ้าข้าแก่แล้ว หมี่โซ่วจะต้องเติบโต มีร่างกายแข็งแรง ต้องดูแลข้าได้ ถึงตอนนั้นเด็กคนนี้ไม่กตัญญู ข้าจะตีให้ตาย และอีกอย่าง หากลูกสาวอยากกินขนมปังร้อนๆ ถ้าไม่มีนมสดจะทำออกมาอย่างไร”

“ตามใจท่านเถอะ”

ซ่งฝูเซิงคิดในใจ ข้าพอใจ แบบนี้เรียกว่าทองที่เทลงน้ำไป เดี๋ยวก็ลอยกลับมา เงินที่ได้จากการซื้อเห็ดหูหวังจวินของแม่ทัพเล็ก ขายเห็ดหูหวังจวินให้แม่ทัพเล็กไปเท่าไหร่ เขาก็นำเงินมาคืนท่านลุงซ่งสามสิบตำลึง เงินหนึ่งร้อยตำลึงที่เหลือยังไม่ได้ใช้ทำอะไร ถ้ามีเงินแล้วไม่ใช้ก็เหมือนกับเก็บกระดาษไว้กับตัว ไม่มีคุณค่าอะไร แต่ถ้าเอาเงินไปใช้ซื้อของ เงินนั้นถึงจะมีคุณค่า ใช้เสร็จ ใช้หมดค่อยหาใหม่

หลายวันมานี้เขาคิดไปคิดมาหลายครั้ง “ลูกสาว ถ้าขาดเหลืออะไรบอกพ่อได้ เดี๋ยวพ่อจะซื้อกลับมาให้”

ซ่งฝูหลิงยิ้มอย่างดีใจ และนำรูปที่นางวาดโครงสร้างทำเตาอบให้ซ่งฝูเซิง นางดีใจมาก “ท่านพ่อ รอข้าสองนาที ให้ข้าวาดโต๊ะทำอาหารแบบยาวให้ท่านลุงรองก่อน พรุ่งนี้รบกวนท่านส่งให้ท่านลุงรองด้วย ข้าพบว่าท่านลุงไม่ฉลาดเท่าไหร่ ยังทำโต๊ะเดี่ยวตัวเล็กเพื่อไว้ในโรงอาหารอยู่ ความจริงแล้วทำโต๊ะขนาดใหญ่สี่ขาเป็นเก้าอี้ยาว จะประหยัดเวลาได้เยอะเลยนะ”

ซ่งฝูเซิงใช้มือหยิบกระดาษขึ้นมาดู ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แล้วหันไปพูดกับเฉียนเพ่ยอิง “เจ้าดู ลูกสาวเราฉลาดขนาดไหน วาดอะไรก็ได้รูปที่เหมือนจริง แค่ใช้ดินสอก็สามารถวาดเป็นรูปเสมือนจริงได้”

ในความคิดของเฉียนเพ่ยอิง นางรู้สึกเบื่อหน่ายเสียมากกว่า ใช่แล้ว ลูกสาวของนาง ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ใช้เงินส่งไปเรียนวาดรูปหมดไปเท่าไหร่ ไม่ได้เรียนเฉพาะวาดรูป ยังได้เรียนเปียโนอีก

ภายหลังที่ฝูหลิงไปเรียนวาดรูป เวลากลับมา มีแต่ภาพที่ไม่เป็นรูปร่าง ซึ่งนางมองว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ นางจึงไม่ไปเรียนแล้ว

เล่นเปียโนยิ่งหนัก ไม่อยากสอบวัดระดับ บอกว่าลำบาก เหล่าซ่งก็ตามใจนาง แถมยังให้ท้ายว่า ถ้ารู้สึกลำบาก เจ้าก็ไม่ต้องเรียนต่อแล้ว เรียนอันนี้ไม่เหมือนกับสอบเข้ามหาลัย ของพวกนี้เป็นการเรียนเสริม จะเหนื่อยเอาเป็นเอาตายทำไม อย่าทำให้สมองต้องทำงานหนักเลย

ช่วงเช้าวันต่อมา ซ่งฝูเซิงถือกระดาษที่ซ่งฝูหลิงส่งให้ นำไปชี้แจงให้ทุกคนช่วยกันทำเตาอบตามแบบในกระดาษ

เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม มีเสียงเด็กกลุ่มหนึ่งหัวเราะพูดเล่นกันเสียงดัง

พวกผู้ใหญ่ช่างโง่เขลาเสียจริง เตาดินพังลงมาแล้ว น่าสนุกจังเลย ฮ่าๆๆ

เวลาผ่านไปไม่นาน เด็กพวกนั้นหัวเราะไม่ออก อะไรนะ พี่สาวพั่งยา พวกเราต้องทำที่เป่าไฟยี่สิบอันหรือ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว