ในชนบทไม่ค่อยมีใครทะเลาะกันเพียงไม่กี่ประโยคแล้วชักมีดออกมาแบบนี้ มันช่างน่าตกใจเสียจริง
เพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ ทำให้บริเวณโดยรอบเงียบกริบ แต่ละคนต่างจ้องตาไม่กระพริบ
ลุงใหญ่มองซ่งฝูเซิงด้วยความตกใจ เหมือนกับไม่เคยรู้จักหลานคนนี้มาก่อน
แต่ลูกคนโตของเขา ซ่งฝูลู่ เมื่อครู่ถูกซ่งฝูเซิงผลักไปจนเซไถลเกือบล้ม เขากระวนกระวายใจรีบจับแขนคนข้างหน้าไว้ถึงจะทรงตัวอยู่ ตอนนี้ก็ยังจับแขนคนนั้นไว้ไม่ปล่อยมือ เหมือนยังไม่รู้สึกตัว
แม้แต่ซ่งฝูโซ่วที่ด่าซ่งฝูเซิงภายในใจว่าไร้ทายาทสืบสกุล คนแบบนี้ ตอนปกติก็มีฝีปากจัดจ้านอยู่แล้ว แต่พอเขาเห็นเงามีดสะท้อนออกมาจึงกลืนคำพูดที่จะท้าทายลงไป และเหล่ตามองอีกรอบก่อนที่จะกล้ำกลืนน้ำลาย
มีเพียงท่านย่าหม่าที่เคลื่อนไหว นางกำลังร้องไห้
แต่การร้องไห้ในครั้งนี้กลับไม่เหมือนเมื่อก่อนตอนสามีของนางเพิ่งเสียชีวิตไป ที่ร้องไห้คร่ำครวญปานท้องฟ้าจะพังทลายลงมา ไม่เหมือนตอนที่บุตรชายจนถึงหลานคนเล็กของนางถูกคนในหมู่บ้านรังแก แล้วนางไปหาถึงที่บ้านเพื่อร้องไห้โวยวาย
ยิ่งไม่เหมือนเมื่อก่อน ตอนที่พื้นที่ถูกคนครอบครอง นางย่ำเท้าไปพร้อมกับด่ากราดไป แทบจะตีฆ้องร้องป่าวประกาศให้คนในหมู่บ้านได้รับรู้ว่า หญิงหม้ายคนนี้ถูกรังแกจนร้องไห้
ตอนนี้นางได้แต่ปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย ไม่อยากให้ใครเห็นนางหลั่งน้ำตา
ท่านย่าหม่าอารมณ์อ่อนไหวมาก หวนคิดถึงเมื่อก่อนที่ลูกสามกลับมาโน้มน้าวใจเธอ ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนในหมู่บ้าน ถึงแม้จะโดนเอาเปรียบนิดหน่อยก็ต้องปล่อยไป แต่ต้องใกล้ชิดสนิทสนมกับบ้านลุงใหญ่ ท่านปู่กับท่านพ่อไม่อยู่แล้ว ลุงใหญ่เป็นญาติที่มีอาวุโสที่สุด ต้องกตัญญู มิเช่นนั้นจะมีผลกระทบกับชื่อเสียงและความก้าวหน้าในอนาคต
นางจึงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับนางอยู่ตลอดเวลา
แต่วันนี้ เมื่อลูกสามพูดปลอบโยนนางเสร็จ ยอมที่จะตามใจแม่ แม่จะทำอะไรก็ไม่รังเกียจ ตอนนี้นางรู้สึกว่าหายใจคล่องขึ้น ร่างกายเบาสบายขึ้นแล้ว
ท่านย่าหม่าเช็ดน้ำตา น้ำตาเช็ดอย่างไรก็ไม่หมด นางคิดไปก็ยิ้มไป สามีของนางยังไม่เคยใช้คำพูดที่ดูอบอุ่นถึงเพียงนี้ ไม่เสียแรงที่นางส่งลูกสามร่ำเรียน ตอนถึงเวลาคับขัน คนที่มีการศึกษานั้นจะไม่เหมือนใคร
“ไป ลูกสามนำมีดมาให้แม่ ควายตัวนั้น ต่อไปแม่จะไม่เอ่ยถึงอีกแล้ว ไม่เอาแล้ว ข้าไม่เอาจริงๆ” สามประโยคสุดท้ายตะโกนไปทางพี่สะใภ้
นางคิดได้แล้วเกี่ยวกับควาย พูดได้ก็ทำได้ บุตรชายของนางสามารถทำเพื่อนางถึงขั้นนี้แล้ว นางยิ่งไม่สามารถให้ลูกไปบ้านลุงใหญ่เพื่อตีรันฟันแทงและฆ่าแกงกันได้จริง เพราะถ้าถูกลือต่อๆ ไปจะทำให้ชื่อเสียงของลูกสามไม่ดี นั่นเป็นการให้ร้ายกับลูกของตนเอง
แม้แต่คำพูดที่ชอบด่าคำนั้น “ใจจืดใจดำ สักวันจะถูกฟ้าผ่า” นางก็กล้ำกลืนลงไป เกรงว่าจะยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้งไปกันใหญ่ แล้วลูกสามจะมุทะลุจริงๆ
หลังจากนั้นนางก็แย่งมีดมาได้ ยังสูดน้ำมูกที่ไหลตอนร้องไห้ และนางก็จับแขนซ่งฝูเซิงพาไปที่บ้าน “ไปบ้านกัน รีบร้อนเดินทางมาทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรร้อนๆ เลย แม่จะไปจัดหาให้ พอดีที่บ้านก็ยังไม่ได้กิน”
“ทำไมถึงยังไม่กิน?”
“เก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่นะสิ”
ซ่งฝูเซิงใช้โอกาสนี้หาทางลงให้ตนเอง เขาคุยกับแม่ไปด้วยและเดินตามเรี่ยวแรงของแม่ที่พาไปบ้าน
อันที่จริงเขาก็ไม่อยากจะนำมีดออกมา แต่ว่าคนพวกนี้ช่างน่ารำคาญมาก ไม่จบไม่สิ้นเสียที
เขาต้องรีบกลับบ้าน ด้วยเป็นห่วงกังวลภรรยาแสนซื่อกับบุตรสาวสุดซื่อบื้อของเขาที่ไม่รู้จักใครสักคนในเรือนนั้น หากพูดอะไรออกมาจนดูมีพิรุธจะทำอย่างไร ต้องรีบจัดการให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว จะมีเวลาที่ไหนไปฆ่าควายจริงๆ
แม่ลูกสองคนเดินกลับไปบ้าน เมื่อทิ้งระยะห่างออกไปไกลแล้ว การพูดคุยก็เริ่มขึ้น
เป็นการซุบซิบกันขึ้นมาก่อน ซ่งฝูเซิงไปเจอภูติผีวิญญาณที่ไหนมาหรือไม่ เมื่อก่อนไม่ใช่คนลักษณะนิสัยเช่นนี้ เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง
และยังมีคนบุ้ยใบ้ปากไปทางป้าใหญ่และพูดกับคนที่อยู่ด้านข้างว่า หรือว่าคนนั้นเป็นคนพูดจาเอาหน้าจริง? ไม่เหมือนคำพูดของนางที่พูดข้างนอกไว้อย่างดี?
เป็นที่รู้กันดีว่า ซ่งถงเซิง เป็นคนที่รู้หนังสือ ไม่เหมือนพวกเขาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...