ทะลุมิติทั้งครอบครัว นิยาย บท 22

ทะลุมิติทั้งครอบครัว ตอนที่ 22 ความประทับใจแรกพบ
ตอนที่ 22 ความประทับใจแรกพบ

ในชนบทไม่ค่อยมีใครทะเลาะกันเพียงไม่กี่ประโยคแล้วชักมีดออกมาแบบนี้ มันช่างน่าตกใจเสียจริง

เพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ ทำให้บริเวณโดยรอบเงียบกริบ แต่ละคนต่างจ้องตาไม่กระพริบ

ลุงใหญ่มองซ่งฝูเซิงด้วยความตกใจ เหมือนกับไม่เคยรู้จักหลานคนนี้มาก่อน

แต่ลูกคนโตของเขา ซ่งฝูลู่ เมื่อครู่ถูกซ่งฝูเซิงผลักไปจนเซไถลเกือบล้ม เขากระวนกระวายใจรีบจับแขนคนข้างหน้าไว้ถึงจะทรงตัวอยู่ ตอนนี้ก็ยังจับแขนคนนั้นไว้ไม่ปล่อยมือ เหมือนยังไม่รู้สึกตัว

แม้แต่ซ่งฝูโซ่วที่ด่าซ่งฝูเซิงภายในใจว่าไร้ทายาทสืบสกุล คนแบบนี้ ตอนปกติก็มีฝีปากจัดจ้านอยู่แล้ว แต่พอเขาเห็นเงามีดสะท้อนออกมาจึงกลืนคำพูดที่จะท้าทายลงไป และเหล่ตามองอีกรอบก่อนที่จะกล้ำกลืนน้ำลาย

มีเพียงท่านย่าหม่าที่เคลื่อนไหว นางกำลังร้องไห้

แต่การร้องไห้ในครั้งนี้กลับไม่เหมือนเมื่อก่อนตอนสามีของนางเพิ่งเสียชีวิตไป ที่ร้องไห้คร่ำครวญปานท้องฟ้าจะพังทลายลงมา ไม่เหมือนตอนที่บุตรชายจนถึงหลานคนเล็กของนางถูกคนในหมู่บ้านรังแก แล้วนางไปหาถึงที่บ้านเพื่อร้องไห้โวยวาย

ยิ่งไม่เหมือนเมื่อก่อน ตอนที่พื้นที่ถูกคนครอบครอง นางย่ำเท้าไปพร้อมกับด่ากราดไป แทบจะตีฆ้องร้องป่าวประกาศให้คนในหมู่บ้านได้รับรู้ว่า หญิงหม้ายคนนี้ถูกรังแกจนร้องไห้

ตอนนี้นางได้แต่ปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย ไม่อยากให้ใครเห็นนางหลั่งน้ำตา

ท่านย่าหม่าอารมณ์อ่อนไหวมาก หวนคิดถึงเมื่อก่อนที่ลูกสามกลับมาโน้มน้าวใจเธอ ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนในหมู่บ้าน ถึงแม้จะโดนเอาเปรียบนิดหน่อยก็ต้องปล่อยไป แต่ต้องใกล้ชิดสนิทสนมกับบ้านลุงใหญ่ ท่านปู่กับท่านพ่อไม่อยู่แล้ว ลุงใหญ่เป็นญาติที่มีอาวุโสที่สุด ต้องกตัญญู มิเช่นนั้นจะมีผลกระทบกับชื่อเสียงและความก้าวหน้าในอนาคต

นางจึงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับนางอยู่ตลอดเวลา

แต่วันนี้ เมื่อลูกสามพูดปลอบโยนนางเสร็จ ยอมที่จะตามใจแม่ แม่จะทำอะไรก็ไม่รังเกียจ ตอนนี้นางรู้สึกว่าหายใจคล่องขึ้น ร่างกายเบาสบายขึ้นแล้ว

ท่านย่าหม่าเช็ดน้ำตา น้ำตาเช็ดอย่างไรก็ไม่หมด นางคิดไปก็ยิ้มไป สามีของนางยังไม่เคยใช้คำพูดที่ดูอบอุ่นถึงเพียงนี้ ไม่เสียแรงที่นางส่งลูกสามร่ำเรียน ตอนถึงเวลาคับขัน คนที่มีการศึกษานั้นจะไม่เหมือนใคร

“ไป ลูกสามนำมีดมาให้แม่ ควายตัวนั้น ต่อไปแม่จะไม่เอ่ยถึงอีกแล้ว ไม่เอาแล้ว ข้าไม่เอาจริงๆ” สามประโยคสุดท้ายตะโกนไปทางพี่สะใภ้

นางคิดได้แล้วเกี่ยวกับควาย พูดได้ก็ทำได้ บุตรชายของนางสามารถทำเพื่อนางถึงขั้นนี้แล้ว นางยิ่งไม่สามารถให้ลูกไปบ้านลุงใหญ่เพื่อตีรันฟันแทงและฆ่าแกงกันได้จริง เพราะถ้าถูกลือต่อๆ ไปจะทำให้ชื่อเสียงของลูกสามไม่ดี นั่นเป็นการให้ร้ายกับลูกของตนเอง

แม้แต่คำพูดที่ชอบด่าคำนั้น “ใจจืดใจดำ สักวันจะถูกฟ้าผ่า” นางก็กล้ำกลืนลงไป เกรงว่าจะยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้งไปกันใหญ่ แล้วลูกสามจะมุทะลุจริงๆ

หลังจากนั้นนางก็แย่งมีดมาได้ ยังสูดน้ำมูกที่ไหลตอนร้องไห้ และนางก็จับแขนซ่งฝูเซิงพาไปที่บ้าน “ไปบ้านกัน รีบร้อนเดินทางมาทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรร้อนๆ เลย แม่จะไปจัดหาให้ พอดีที่บ้านก็ยังไม่ได้กิน”

“ทำไมถึงยังไม่กิน?”

“เก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่นะสิ”

ซ่งฝูเซิงใช้โอกาสนี้หาทางลงให้ตนเอง เขาคุยกับแม่ไปด้วยและเดินตามเรี่ยวแรงของแม่ที่พาไปบ้าน

อันที่จริงเขาก็ไม่อยากจะนำมีดออกมา แต่ว่าคนพวกนี้ช่างน่ารำคาญมาก ไม่จบไม่สิ้นเสียที

เขาต้องรีบกลับบ้าน ด้วยเป็นห่วงกังวลภรรยาแสนซื่อกับบุตรสาวสุดซื่อบื้อของเขาที่ไม่รู้จักใครสักคนในเรือนนั้น หากพูดอะไรออกมาจนดูมีพิรุธจะทำอย่างไร ต้องรีบจัดการให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว จะมีเวลาที่ไหนไปฆ่าควายจริงๆ

แม่ลูกสองคนเดินกลับไปบ้าน เมื่อทิ้งระยะห่างออกไปไกลแล้ว การพูดคุยก็เริ่มขึ้น

เป็นการซุบซิบกันขึ้นมาก่อน ซ่งฝูเซิงไปเจอภูติผีวิญญาณที่ไหนมาหรือไม่ เมื่อก่อนไม่ใช่คนลักษณะนิสัยเช่นนี้ เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง

และยังมีคนบุ้ยใบ้ปากไปทางป้าใหญ่และพูดกับคนที่อยู่ด้านข้างว่า หรือว่าคนนั้นเป็นคนพูดจาเอาหน้าจริง? ไม่เหมือนคำพูดของนางที่พูดข้างนอกไว้อย่างดี?

เป็นที่รู้กันดีว่า ซ่งถงเซิง เป็นคนที่รู้หนังสือ ไม่เหมือนพวกเขาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

ซ่งหลี่เจิ้งมือหนึ่งถือไม้เท้า มือหนึ่งถูกหลานชายคนโตพยุงไว้ ระหว่างทางก็ทิ้งคำพูดนี้ไว้หนึ่งประโยค แต่ก็ไม่สอบถามเหตุการณ์อึกทึกที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ทำเหมือนเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ค่อยๆ เดินมุ่งหน้าไปบ้านซ่งฝูเซิง

…..

เมื่อกล่าวว่า ซ่งฝูเซิงกลับมาพบครอบครัวก็ชักมีดออกมา ดูดุดันก้าวร้าว ส่วนเฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงมาพบคนในครอบครัวก็คงออกแนวเรียบร้อย เชื่อฟัง

ซ่งฝูหลิงเข้ามาในเรือนบ้านย่า พบว่าทุกคนไม่ได้นั่งอยู่ในห้อง แต่อยู่ในเรือนแล้วก่อไฟกัน

เด็กทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กเด็กโตหรือชายหญิง ต่างก็ทำงานอยู่ บ้างทำเชือก บ้างเก็บหญ้าแห้ง บ้างหั่นผัก เป็นต้น ส่วนพวกผู้หญิงก็อาศัยแสงไฟซักผ้า ทำความสะอาดเรือน

ห่างจากกองไฟไม่ไกลออกไป มีโต๊ะเตี้ยตั้งอยู่ บนโต๊ะวางชามกับตะเกียบไว้ ดูเหมือนยังไม่ได้กินข้าว

พวกเขาเห็นรถลากเทียมล่อเข้ามาในเขตบริเวณเรือน เมื่อเห็นเฉียนเพ่งอิงกับซ่งฝูหลิง แต่ละคนต่างก็ประหลาดใจมาก

มีเด็กหญิงคนหนึ่งอายุราวสิบสองสิบสามปีรีบเดินมาตอนรับ “อาสาม” แล้วจับแขนซ่งฝูหลิงด้วยความดีใจ “พั่งยา ทำไมเจ้าถึงกลับมาละ?”

ซ่งฝูหลิงหันกลับมามองนาง ความรู้สึกแรกคือ “แม่นางคนนี้ ช่างน่าอนาถจริงๆ”

ใบหน้าซูบผอม ผิวพรรณดำคล้ำ ดูขาดสารอาหาร และความรู้สึกจากการที่ถูกจับแขนเมื่อครู่ เพิ่งสิบกว่าขวบเอง ข้อกระดูกใหญ่ มือก็ด้านมาก

ทางด้านเฉียนเพ่ยอิง ตอนนี้ก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คน พวกคนใหญ่ก็เรียกนางว่า น้องสะใภ้ หนึ่งในนั้นมีเด็กชายอายุประมาณเจ็ดแปดขวบเบียดเข้ามาในวงล้อม ยืนอยู่ข้างนาง ก่อนจะเรียกว่า อาสาม เขาก็น้ำลายไหลออกมาก่อน

นางรู้แล้วว่า กลิ่นไข่พะโล้บนตัวนางนี่เองที่เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ อย่างมาก

Related

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว