ซ่งฝูหลิงบอกสิ่งที่ยากที่สุดของเรื่องนี้ออกมา
“ท่านย่า เมื่อเช้านี้ ท่านยังไม่เห็นวิธีอบขนมปัง ท่านไม่รู้ว่าเตาอบของพวกเราสามารถอบได้ครั้งละก้อนใหญ่เท่านั้น อบเสร็จหนึ่งก้อน ถึงจะวางอีกก้อนเข้าไปอบต่อได้ ท่านคิดดูว่าเราจะต้องใช้เวลาอบนานเท่าไร”
“ต้องอบนานเท่าไร”
“หนึ่งชั่วยาม” นี่เป็นวิธีคำนวณเวลาของคนโบราณ
ถ้าเทียบเวลากับคนในยุคปัจจุบัน ก็ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ และยังต้องใช้เครื่องตีไข่ของนาง โปรตีนซ่งฝูหลิงใช้เวลาตีไม่นานเพราะเป็นงานที่นางถนัด หนึ่งก้อน ใช้เวลารวมกับก่อไฟอุ่นให้เตาอบร้อน ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
ถ้าใช้มือตีไข่ ต้องใช้เวลานานกว่านี้ และคงต้องเหนื่อยตายเป็นแน่
“ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเลยหรือ”
“แล้วท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ วันนี้ตอนเช้า ข้าตื่นตั้งแต่เที่ยงคืนออกมาทำ ยังทำได้ไม่กี่ก้อน ตอนที่พวกเราเดินทางออกมา ท่านจำได้หรือไม่ว่าเป็นเวลาเท่าไหร่ ท่านลองคำนวนเวลาดู ดังนั้น ท่านย่า หนึ่งวันมีแค่ยี่สิบกว่าชั่วยาม ใช้เวลาอบขนมเค้กยี่สิบสามก้อน เวลาหนึ่งชั่วยามหนึ่งก้อน ท่านไม่ต้องนอนหรือ ไม่ต้องกินข้าวหรือไง”
ท่านย่าหม่ากลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ นางคิดไม่ถึงจริงๆ เพราะนางไม่รู้ว่าการอบขนมเค้กต้องเสียเวลานานขนาดนี้ ตอนนี้นางถึงรู้สึกได้ถึงความลำบากที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
ซ่งฝูหลิงเห็นท่านย่าไม่พูดอะไร กลัวท่านยากรู้สึกเสียใจ จึงรีบปลอบท่านย่า “ว่าแต่ว่าขนมเค้กยี่สิบสามก้อน พวกเรารับงานมาแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ อย่างน้อยก็วันมะรืนจึงถึงกำหนดส่งของ ท่านย่า ตอนนี้เรารีบกลับบ้านกันเถอะ ก่อนวันที่จะมาส่งของหนึ่งวัน พวกเราจะต้องเตรียมให้เสร็จ ถ้าเป็นอย่างนั้นน่าจะกัดฟันทำได้”
แต่ว่า ซ่งฝูหลิงตางหากที่เข้าใจผิดแล้ว ที่ท่านย่าไม่ตอบกลับมาไม่ใช่รู้สึกผิดและไม่ได้รู้สึกเสียใจ กลับดีใจจนพูดไม่ออก จะต้องเสียใจเรื่องอะไรเล่า
ท่านย่าหม่าหันหน้ามองซ้ายมองขวา จากนั้นก็จูงมือหลานสาวจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ก้มหน้าก้มตาเดิน
ระหว่างทางเดินเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ทำให้ซ่งฝูหลิงงงไปหมด ท่านต้องรีบจำทาง นางกลัวท่านย่าจะจำทางหลักไม่ได้
“ท่านย่า นี่ท่านกำลังทำอะไร”
ในซอยลึกที่ไม่มีคนและห่างไกล ท่านย่าหม่าหยุดฝีเท้าและยืนนิ่ง
นางเข้าใจว่าที่ตรงนี้คงไม่มีใครมาพบและคงไม่มีใครสงสัย ท่านย่าหม่าใช้สายตาจ้องไปที่หลานสาว นางกัดฟันและรีบควักเงินจากผ้าคาดเอวออกมา
เงินที่ไหลออกมาจากห่อผ้านั้นมีทั้งเศษเงิน เงินถง เสียงเทออกมาดัง แค๊กๆ
ซ่งฝูหลิงไม่มีเวลาที่จะบอกให้ท่านย่าหยุด
ซ่งฝูหลิงบอกให้ท่าย่าห้ามเทและยังให้หยุดเทเงินอีกด้วย และยังบอกว่า “ข้ากำลังเดา ท่านก็เทเงินออกมา ท่านบอกข้าสิว่าเอาออกมาทำไม ท่านเก็บไว้ในผ้าคาดเอวก็ไม่ได้หนักหนาอะไร”
ท่านย่าบอกว่า “ถ้าข้าไม่เอาออกมาจะเอาไปเก็บที่ไหน ที่บ้านข้าแม้ แต่ตู้ก็ยังไม่มี ทุกอย่างว่างเปล่า ใครมองมาก็เห็นทุกอย่าง จะเอาไปเก็บไว้ในห้องใต้ดินก็ไม่ได้ พวกนั้นมีตั้งหลายคน ทุกคนสามารถเข้าไปในห้องใต้ดินเก็บผักได้”
พูดถึงตรงนี้ นางหลบมือที่หลานสาวพยายามห้ามนำเงินทั้งหมดของบ้านออกมา ท่านย่าจึงรีบบอกว่าทำไมถึงทำเช่นนี้
“มานี่ พั่งยา เจ้าถือเงินพวกนี้ไว้” ท่านย่า “วันนี้เจ้าคงเหนื่อยและก็ยังคิดไม่เสร็จ เรื่องที่พวกเราขายขนมเค้กได้ เราได้กำไรเท่าไร เจ้าพูดใส่หูข้าหลายสิบครั้งว่าเป็นไปไม่ได้ ข้ายังคิดไม่ออกตอนนี้ เดี๋ยวข้าจะคำนวนให้ละเอียดว่าพวกเราได้กำไรเท่าไร”
ซ่งฝูหลิง “…”
เมื่อครู่ก่อนหน้า ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังพูดถึงเรื่องที่เตาอบไม่เพียงพอหรอกหรือ ท่านย่าทำไมถึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นเรื่องการหาเงินได้กำไรเท่าไหร่ในหนึ่งวันแทนเล่า
ว่าแต่ นางก็พอเข้าใจที่ท่านย่ากำลังร้อนใจเรื่องไม่สามารถคิดกำไรได้
ถ้ารู้แล้ว จะคำนวนได้ถูกหรือไม่ ครึ่งชีวิตท่านย่าได้ผ่านไปแล้ว ในแต่ละปีนางได้เห็นได้จับเงินจำนวนไม่มากเท่าไหร่ ค่าภาษีต่างๆ คิดครั้งเดียวยังไม่เกินหนึ่งร้อยหวิน ถ้าเยอะกว่านี้ หรือซับซ้อนขึ้นมาอีกเล็กน้อย นางก็จะคำนวนไม่ได้เลย เมื่อคำนวณเรื่องต้นทุนผลกำไรจะต้องมีการคูณ การหาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เข้าใจแล้ว ชัดเจนแล้ว ความหมายของท่านย่าก็คือ ให้นางเอาเงินจำนวนจริงออกมาแล้วนับให้ดูอีกครั้ง
ซ่งฝูหลิงเริ่มนับให้ดู ครั้งแรกนับเงินถงออกมาเก้าสิบหกเหรียญ วางลงบนมือท่านย่า“ท่านย่า เงินนี้เป็นค่าขนมเค้กก้อนแรกที่ขายออกไป พวกเราขายไปยี่สิบสามก้อน ข้าให้ท่านอีกยี่สิบสองก้อน ท่านรอข้านับเงินสักครู่”
นางค่อยๆ นับอย่างอดทนและให้เงินไปยี่สิบสองเหรียญ “ท่านย่า ท่านจำไว้ เงินในมือของท่านคือจำนวนที่มาส่งเค้กแล้วต้องเก็บกลับไป เป็นเงินทั้งหมดในการขายขนมเค้กยี่สิบสามก้อน”
เอิ่ม…เอิ่ม…ครั้งนี้ ท่านยายสูงวัยเข้าใจแล้ว “เจ้าวางใจเถอะ เงินแค่หยวนเดียวก็จะไม่ให้ขาด นี่เป็นเงินทุนทั้งหมด ถ้าหายไปก็ขาดทุนพวกเราไง”
“ท่านย่า อย่ารีบใจร้อน” ซ่งฝูหลิงพูดต่อ” “ข้ายังมีเรื่องที่จะต้องพูดกับท่าน ระหว่างที่รอท่านอยู่ข้างนอกหอนางโลมม่านชุน ข้าคิดขึ้นได้ว่าเงินต้นทุนค่าขนมของพวก ครั้งแรกพวกเราคิดสี่สิบเหวิน แต่คิดแบบนั้นไม่ได้ เราต้องคิดสี่สิบห้าเหวินแล้วล่ะท่านย่า
“ทำไมหรือ”
“เพราะพวกเรากำลังเอาเปรียบกองกลางอยู่ วันนี้ที่พวกเราอบขนมปัง กระดาษที่ใช้คือของท่านพ่อและก็เป็นของกองกลาง พวกเราไม่ได้ซื้อกระดาษแก้ว ข้าลืมแล้ว ข้าลืมซื้อไป…
…ท่านย่า อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับค่ากระดาษแก้ว ข้าไม่อยากใช้กระดาษที่คุณภาพต่ำ เมื่อกลิ่นขนมออกมาไม่ดี คนกินเข้าไปก็จะทำให้ท้องเสีย เขาจะต้องมาคิดค่าเสียหายกับเรา…
…และอีกอย่าง ในหนึ่งวัน กระดาษแก้วพวกเราก็ใช้ไปไม่น้อย เงินจำนวนนี้ก็เป็นเงินทุน เราจะตัดออกไปไม่ได้ นอกจากนี้ พวกเรายังจะต้องซื้อน้ำส้มหมักบริสุทธิ์ เวลาข้าทำเค้ก ตอนนวดแป้งต้องใช้มันเล็กน้อย นี่คือต้นทุนทั้งหมด…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...