ในฤดูหนาว คนทางภาคเหนือจะไม่นิยมสร้างบ้าน แต่ในยุคปัจจุบันที่มีเครื่องมือทันสมัยนั้น เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวจนพื้นดินเป็นน้ำแข็ง ทุกเขตการก่อสร้างก็จะหยุดเดินเครื่องจักร
ข้อที่หนึ่งคือ เครื่องจักรขุดลงพื้นดินไม่ไหว เพราะพื้นเป็นน้ำแข็งหมด ถ้าไม่ยอมแพ้ อยากสร้างบ้านในฤดูหนาว จะต้องใช้เงินเยอะเป็นสองเท่าของเวลาปกติ ทำให้เสียเงินโดยใช่เหตุได้
สำคัญที่สุด ถึงแม้จะไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ถ้าจำเป็นต้องเพิ่มต้นทุนเวลาสร้างบ้านในช่วงหน้าหนาว อากาศร้อนทำให้อุปกรณ์ขยายตัว อากาศหนาวทำให้ปกรณ์หดตัว ถ้าเราสร้างบ้านในฤดูหนาว บ้านก็มักจะเปลี่ยนรูปร่างไปด้วย
ทุกคนที่สร้างบ้าน ก็อยากอยู่กับมันตลอดชีวิต จะมีใครอยากใช้เงินสร้างบ้านไปเล่นๆ ถ้าบ้านเปลี่ยนรูปร่างไป คงไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร
ดังนั้น เริ่นจื่อเซิงจึงได้ส่งอิฐให้กับทุกคนเพื่อทำบ้าน เสียเวลาอย่างมากกว่าจะได้มาและถือว่าเป็นของขวัญเพื่อขอโทษที่สมเหตุสมผล
นอกจากนั้น ซ่งฝูเซิงจึงพาทุกคนคิดวิธีทำอิฐดินเพื่อก่อเตียงเตา
ณ ตอนนั้น เงินที่พวกเขาได้จากการขายถั่วเมล็ดสน ไม่ใช่ว่าซื้ออิฐเขียวไม่ได้
ยุคราชวงศ์ฉินเป็นยุคประติมากรรมอิฐ ในยุคราชวงศ์ฮั่นเป็นยุคประติมากรรมกระเบื้อง อิฐเป็นสิ่งที่ถูกใช้งานในทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นจึงจะบอกไม่ได้ว่าไม่มีเงินซื้อ
ใช้แรงงานคนในการปั้นก้อนดินแล้วเผามาเป็นอิฐ ที่นี่แรงงานคนไม่มีราคาและไม่แพงถึงแม้จะเป็นบ้านคนปกติที่ไม่มีเงินซื้ออิฐ ก็ยังสามารถสร้างบ้านได้ และก็ยังมีเงินซื้ออิฐมาทำเป็นเตาได้
แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ ในฤดูหนาวไม่มีร้านไหนทำอิฐขาย
โรงงานอิฐที่เมืองถงเหยาเจิ้นก็ปิดกิจการช่วงฤดูหนาวไปแล้ว ต้องรอถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงจะกลับมาผลิตอีกครั้ง
ท่านย่ามากับซ่งฝูหลิงเมื่อได้ยินดังนั้น คิดอยากซื้ออิฐเพิ่มก็ซื้อไม่ได้ นี่คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ณ ตอนนี้
แต่ว่า สองย่าหลานยังมีความโชคดีอยู่…
ทั้งสองคนหลบเข้าไปในตรอกเล็กๆ เพื่อนับเงิน
ขณะนั้น ซ่งฝูหลิงเท้าเหยียบหินก้อนใหญ่และใช้มือหนึ่งจับไหล่ของท่านย่าหม่า อีกมือหนึ่งจับกำแพงบ้านของคนอื่น
“ท่านย่า ข้าไม่ได้ดูผิดใช่ไหม บ้านนี้มีกองอิฐจริงๆ น่าเป็นอิฐที่เหลือจากการสร้างบ้าน ท่านดูห้องนั้นสิ ยังใหม่ๆ เหมือนเพิ่งสร้างเสร็จ”
“เจ้าลงมาเถอะ ลงมา ระวังอย่าให้หกล้ม” ท่านย่าหม่าประคองหลานสาวลงมาจากหินก้อนใหญ่ นางวิ่งจากด้านนอกกำแพงไปที่หน้าประตูบ้าน ขณะเดียวกันประตูหน้าบ้านก็กำลังเปิดอยู่
ข้างในมีหญิงสูงวัย ดูจากลักษณะอายุน่าจะเท่าๆ กับท่านย่าหม่า แต่ว่าหญิงสูงวัยท่านนี้ใส่เสื้อผ้าสะอาด พอเหมาะกับรูปร่างและดูมีฐานะมากกว่าท่านย่าหม่ามากนัก
“เจ้ามาหาใครหรือ”
“ข้ากำลังมาหาเจ้าของบ้าน ซึ่งน่าจะเป็นท่านสินะ น้องสาว ข้าต้องขออภัยด้วย ข้ามีเรื่องอยากรบกวนและจะคุยกับเจ้า”
ท่านยายสูงอายุได้ยินต้นสายปลายเหตุของเรื่องที่ทานย่าเล่า นางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “เจ้าบอกว่า เจ้าจะซื้ออิฐบ้านข้าไปทำเตาหรือ พวกเจ้าทำไมต้องทำเตาในช่วงฤดูหนาว ถ้าเตาก่อไฟได้ไม่ดีก็ต้องซ่อมก่อนที่จะเข้าฤดูใบไม้ร่วง ทำไมต้องมาทำตอนนี้ พวกเจ้าว่างงาน อยากหางานทำหรืออย่างไร”
ท่านย่าหม่าบอกว่า “พวกข้าไม่ใช่ไม่มีงานทำ เพราะมีเหตุผลจึงมาหาท่านตอนนี้ไงล่ะ
“ตอนนี้ มาหาข้าหรือ” ท่านยายสูงวัยเข้าใจแล้ว “พวกเจ้ามาจากทางใต้ใช่หรือไม่ ข้าได้ยินว่า คนอพยพจากทางใต้มาไม่น้อย รัฐบาลมีการส่งข่าวสารบรรเทาทุกข์ให้ และยังได้ยินอีกว่า เพราะเรื่องข้าวสารบรรเทาทุกข์นั่น มีคนทุจริตและยังมีขุนนางผู้ใหญ่ถูกประหาร ตัดหัวประจานไปแล้วด้วย”
ท่านย่าหม่าพยักหน้ายืนยัน
“ใช่แล้ว พวกเราคือผู้อพยพพวกนั้นแหละ เพิ่งมาถึงไม่นาน…
…น้องสาว เจ้าคงไม่รู้ความจริง พวกเราไม่กล้าบอกความจริงเวลาเจอใครว่าเป็นพวกอพยพ เพราะไม่อยากให้ใครได้ยินเรื่องของพวกเราแล้วรู้สึกไม่สบายใจที่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น…
…พวกเรายังมีมือมีเท้า ต่อไปพวกเราต้องอาศัยความสามารถของตัวเองในการทำมาหาของกิน พวกเรามาที่นี่ ในอนาคตก็จะกลายเป็นคนของที่นี่ จะไม่ยอมให้เป็นภาระใคร ไม่อยากติดค้างใครใช่หรือไม่ อย่างน้อยต้องไม่ทำให้คนที่มีจิตใจดีอย่างน้องสาวต้องลำบากไปด้วย”
นี่คือคำพูดจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ
แต่ว่า ปัญหาก็ยังมีให้เห็น
“พวกข้าเพิ่งมาถึงที่อยู่เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีอะไรเลย ข้อแรก คือ ความจน แม้แต่เตียงเตาสำหรับนอนก็ซื้อไม่ได้ เด็กน้อยหนาวจนฟันกระทบกัน ร้องไห้เสียงดังโยเย พวกเรายังได้ยินว่าโรงงานอิฐปิดในช่วงฤดูหนาว โกดังเก็บอิฐก็ไม่มีเหลือ จึงจำเป็นต้องแบกหน้ามาเคาะประตูบ้านท่านนี่ยังไงล่ะ”
คำพูดพวกนี้ ดูเหมือนเกินความเป็นจริงไปมาก แต่ทุกคำพูดออกมาจากหัวใจ ฟังอย่างไรก็มีเหตุมีผลน่าเชื่อถือ เรื่องที่พวกเขาพบผ่านมาก็เป็นเช่นนี้ ทำให้ท่านยายสูงวัยผู้นี้รู้สึกเห็นใจ
“ที่บ้านข้ามีอิฐเหลือไม่เยอะแล้ว คงไม่เพียงพอสำหรับทำเตียงเตาขนาดใหญ่ได้ ถ้าพวกเจ้ามีคนเยอะ ก็คงจะไม่เพียงพอสำหรับใช้งาน แต่ว่า เจ้าเอาอิฐไปทำเตียงเตาให้เด็กๆ ได้นอนก่อน อากาศในช่วงฤดูนี้จะหนาวขึ้นทุกวัน แต่อย่าปล่อยให้เด็กๆ หนาวจนเป็นไข้ก็แล้วกัน มา ตามข้ามาเถอะ”
“ขอบคุณ ขอบคุณมาก” ท่านย่าหม่ายิ้มดีใจจนเห็นฟันขาว รีบโบกไม้โบกมือให้ซ่งฝูหลิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล เพื่อบอกว่าท่านยายสูงวัยตกลงแล้ว เจ้ารีบเข้ามาช่วยกันขนเถอะ
ท่านยายสูงวัยคนนี้เป็นคนจิตใจดี ท่านย่าหม่ากับซ่งฝูหลิงเข้าไปในห้อง ท่านยายก็เทน้ำร้อนให้คนละหนึ่งถ้วยเพื่อให้ดื่ม และยังให้ทุกคนถอดรองเท้า ขึ้นไปนั่งบนเตียงเตาเพื่อให้ได้รับความอบอุ่นก่อนเดินทาง
หลังจากนั้น จึงบอกว่า “ในบ้านมีอิฐที่เหลือจากการทำห้องเพิ่มเติม จึงไม่ขายเอากำไร ตอนที่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ ก็จะขายให้พวกเจ้าในราคาเท่าเดิม…
…ว่าแต่ พวกเจ้าต้องมาขนกลับไปเองนะ เพราะในบ้านของข้ามีข้าอยู่แค่คนเดียว ลูกชายข้าตอนนี้ไปตลาด ลูกสะใภ้ก็ไม่อยู่ นางกลับไปเยี่ยมแม่ที่อีกหมู่บ้าน”
ท่านย่าหม่าฟังจบก็พยักหน้าตกลง คงต้องเป็นเช่นนั้น และยังถามท่านยายสูงวัยว่าแถวนี้มีที่ไหนสามารถขอยืมรถได้หรือไม่ “อ้อ! เจ้าเข้าไปในเมืองแล้วข้ามสะพานไปทางทิศตะวันตกก็เห็นแล้ว” ท่านย่าหม่าจึงบอกว่า “น้องสาว อีกสักครู่พวกเรามาคิดราคาอิฐกัน แต่ข้าจะเอาเงินให้เจ้าก่อน เมื่อเช่ารถมาได้จะให้เขาขนอิฐกลับไป แต่ว่าข้ามีเรื่องรบกวนท่านอีกสักหนึ่งเรื่อง”
“ท่านพูดมาเถอะ”
“คืออย่างนี้ พวกข้ากว่าจะได้เข้ามาในเมืองนั้นไม่ง่ายและที่หมู่บ้านใหม่ไม่มีของใช้ มาในเมืองครั้งนี้จึงจะซื้อของใช้ในบ้านกลับไปด้วย ท่านจะช่วยข้าเฝ้าดูคนมาขนอิฐขึ้นรถได้หรือไม่ ส่วนข้าจะพาหลานสาวไปด้วย เมื่อซื้อของเสร็จ อิฐก็น่าจะขนขึ้นรถเสร็จพอดี จะได้ขนของกลับไปพร้อมกัน”
หญิงสูงวัยตอบรับตามครรลอง และยังกระตุ้นพวกเขาว่าถ้ารีบมาก ให้รีบไปดูอิฐก่อนเถอะ “อิฐสามพันแปดร้อยยี่สิบก้อน ต้องจ่ายเงินหนึ่งพันเก้าร้อยสิบเหวิน”
รวมกับที่ซ่งฝูหลิงไปหารถเกวียนคันใหม่ คนขับรถบอกว่าสามารถส่งของได้ถึงหน้าบ้าน “ค่าใช้จ่ายบวกกับช่วยพวกเจ้าขนอิฐขึ้นรถด้วย ทั้งหมดนี้สำหรับราคาเช่ารถใช้เงินสองร้อยเหวิน”
งานสองอย่างรวมกัน ใช้เงินไปสองตำลึงหนึ่งเฉียนกว่าๆ
ท่านย่าหม่ารู้สึกปวดไปถึงกล้ามเนื้อ แต่ไม่กล้าจะเสียเวลาในการต่อรอง ใช้สายตาเพื่อบอกให้ท่านยายสูงวัยช่วยเฝ้าคนขนอิฐขึ้นรถและรีบพาซ่งฝูหลิงจากไป
เมื่อออกจากประตูบ้านก็รีบถามขึ้น
“อิฐพวกนั้น พั่งยา ข้าดูยังไงก็คงทำเตาอบได้ไม่ถึงสิบเตา ใช่หรือไม่”
“ท่านย่า ท่านคิดไม่ผิด ข้าก็นับดูแล้ว คงทำเตาได้เพียงหกเตาเท่านั้น ขนมเค้กของพวกเรามีขนาดใหญ่ ดั้งนั้นเวลาอบต้องใช้เตาอบขนาดใหญ่ และยังมีไฟบน-ล่างอีก บวกกับเตาอบอันเก่า รวมเป็นเจ็ดเตา น่าจะเพียงพอแล้วล่ะ ไปเถอะ ท่านย่า พวกเราไปซื้อแผ่นกระดานเหล็กกัน”
“แผ่นกระดานเหล็ก เอาไว้ใช้ทำอะไรหรือ”
“เอาไว้ปรับให้ไฟ หรือไม่ช่วยไม่ให้ไฟแรงเกินไปได้”
สองย่าหลานมาถึงร้านตีเหล็ก ช่วยกันจับๆ เลือกๆ ซ่งฝูหลิงเลือกเหล็กออกมาหกแผ่น แผ่นที่ค่อนข้างเก่าและยังขึ้นสนิม ราคาหนึ่งร้อยเหวิน
มาคราวนี้ ถึงคราวซ่งฝูหลิงรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ แผ่นกระดานเหล็กในมือของนางขนาดไม่ใหญ่มาก ราคาอันละหนึ่งร้อยเหวินใช่หรือไม่ ดูยังไงก็ดูออกว่าเป็นของที่ไม่ได้มาตฐาน
คนงานตีเหล็กบอกว่า ให้ราคาได้เท่านี้
สองย่าหลานก็ไม่กล้าต่อรองเยอะ ท่านย่าหม่าควักเงินจากห่อผ้าคาดเอว เวลาแค่ไม่นาน พวกเขาใช้เงินเหมือนกับละลายแม่น้ำ บวกกับเงินที่ซื้ออิฐด้วย ตอนนี้เงินสามตำลึงก็ใกล้จะหมดแล้ว
“ท่านย่า พวกเราต้องรีบไปซื้อถาดนึ่งอาหาร เมื่อไปถึงข้าจะวาดรูปให้เขาดูและจะให้พวกเขาช่วยสานหม้อให้มีขนาดและรูปแบบตามต้องการ เร่งให้สานเสร็จพรุ่งนี้ แล้วให้ท่านมารับได้หรือไม่”
“จำเป็นต้องสานจากต้นไผ่หรือ เราใช้ไม้กระดานได้หรือไม่ ให้ท่านลุงรองของเจ้าช่วยเลื่อยไม้กระดานก็ได้นะ”
ซ่งฝูหลิงพยักหน้า
คนที่ขายซาลาเปาหรือขายข้าวสวย ทำไมถึงใช้ถาดนึ่งจากไม้ไผ่นะหรือ เพราะตัวไม้ไผ่มักจะดูดน้ำ ไม่ว่าแป้งจะร้อนหรือเย็น หากวางซาลาเปาไว้ข่างล่างหม้อจะระบายอากาศได้ดี
ยิ่งเป็นขนมเค้กยิ่งต้องระวัง ขนมนุ่มๆ ต้องวางแป้งที่ละก้อนลงในถาดนึ่งขนาดใหญ่ ระหว่างเดินทางขนมจะไม่ถูกกดทับ ขนมเค้กแบนแล้วคนยังซื้ออยู่หรือไม่ โดยเฉพาะจะต้องส่งขนมครั้งละยี่สิบสามก้อน ไม่เหมือนกับวันนี้ที่แบกแค่สี่ก้อนก็ยังต้องระมัดระวังมาก
ท่านย่าหมาฟังจบ จับมือหลานสาวไปที่ร้าน “นั่นคือของจำเป็นที่ประหยัดไม่ได้ ไปๆๆ ไปซื้อเถอะ”
ท่านย่าหม่ากลั้นลมหายใจ พูดครั้งเดียว่าขอจองถาดนึ่งแบบยาวสามสิบชิ้น ที่ไม่ได้จองพอดียี่สิบสามชิ้นเท่าที่ต้องใช้ เนื่องจากว่าหากอยากจะซื้อของพวกนี้ ต้องมีเวลาจองของไว้ก่อนล่วงหน้า ซึ่งนั่นจะทำให้เสียเวลา ซื้อครั้งเดียวให้เพียงพอดีกว่า เหลือดีกว่าขาด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...