ทะลุมิติทั้งครอบครัว นิยาย บท 226

ซ่งจินเป่าทำงานได้เฉพาะอย่าง หากใช้คำพูดของซ่งฟูเซิงก็คือ

“ซ่งจินเป่าก็เหมือนก้อนอิฐ ตรงไหนต้องการใช้งานก็จะไปวางอยู่ตรงนั้น ถ้าไม่มีคนใช้งาน ซ่งจินเป่าก็จะพาพี่ๆ น้องๆ ไปหาฟืนและบางทีก็ไปยืนเป่าปี่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ”

วันนี้ซ่งจินเป่ามาเป่าปี่ได้ตรงเวลาพอดี สายตาก็เฉียบคม

เกวียนเพิ่งถึงตีนสะพาน ซ่งจินเป่ารู้สึกได้จึงรีบเขย่งเท้า ใช้มือกางออก มองไปไกลๆ

ถึงเขาจะร้อนใจแต่ก็ไม่กล้าไปวิ่งข้างหน้า ถึงอยากจะเจอท่านยายที่เป็นที่รักก็ทำไม่ได้ ต้องรีบกลับไปแจ้งข่าวเป็นคนแรกให้กับทุกคน

เขาตะโกนส่งเสียงออกมาจากลำคอ พวกเด็กๆ ดีใจจนวิ่งแตกออกมาข้างนอก แม้แต่ชายวัยกลางคนก็หยุดทำงาน วางของจากในมือลง หันหน้าไปมอง

ทำไมผู้ชายที่ใช้แรงงานต่างหันไปมองท่านย่าหม่า

เพราะว่าพี่น้องของครอบครัวท่านย่าหม่า บอกว่า หากยังขาดคนสองคนที่ยังไม่กลับมา พวกนางก็จะไม่ให้ทุกคนกินอาหาร

เด็กสิบกว่าคน เพราะด้วยความกลัวจึงวิ่งวนรอบๆ บางคนวิ่งจนหกล้ม เมื่อหกล้มแล้วก็ต้องรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาแล้ววิ่งต่อ

พวกเด็กๆ ทั้งวิ่งและตะโกนว่า

“พี่สาวพั่งยากลับมาแล้ว”

“พี่สาวพั่งยากลับมาแล้ว”

เฉียนหมี่โซ่ววิ่งหอบจนหายใจไม่ทัน โถมตัวเข้าไปกอดที่ขาของพี่สาว

หลานสาวท่านลุงซ่งวิ่งจนหน้าแดงไปถาม “พี่สาวพั่งยา ทำไมท่านเพิ่งกลับมาถึงบ้าน”

ซูเหมียวจือจับมือซ่งฝูหลิง “พี่สาวพั่งยา ท่านทำขนมอร่อยมาก เมื่อไหร่ท่านจะทำขนมเพิ่มให้พวกเรากิน”

“ต้องรอให้ข้าทำขนมเพิ่ม แล้วพวกเจ้ากินของที่เสียๆ”

เด็กๆ พากันล้อมพั่งยาไว้ แล้วพากันถามขึ้น “พี่สาว เมื่อไหร่ท่านจะทำขนมอีกหรือ”

ซ่งฝูหลิงจับมือเล็กๆ ของซูเหมียวจือยกขึ้น นิ้วมือสิบนิ้วคือเท่ากับหนึ่งวัน พอถึงนิ้วที่เจ็ดจึงบอกว่า “วันนี้เป็นวันที่ข้าจะทำขนมแล้ว”

“เย่ๆๆ วันนี้เป็นวันที่ทำขนมแล้ว” เด็กๆ พากันร้องตะโกนดีใจขึ้นพร้อมกัน

นางกลัวว่านางลืม จึงยังยกนิ้วชูขึ้นไว้และวิ่งกระโดดไปพร้อมกับหัวเราะ

ซูเหมียวจือไม่กล้างอนิ้วมือที่ถูกดึงลง กลัวจะลืมวันที่ทำขนม จึงยกนิ้วมือทั้งตรงทั้งงอ วิ่งแกมกระโดดไร้เดียงสาไปกับเด็กๆ คนอื่น

เวลาขณะเดียวกัน ท่านย่าหม่าที่กำลังชี้ไม้ชี้มือสั่งงาน ชี้ให้รถเกวียนวิ่งไปที่ข้างๆ บ้านท่านยายหวัง

กลุ่มผู้หญิงหลายคนเดินมาต้อนรับและถามท่านย่าหม่า “ซื้ออิฐมาทำไมหรือ จะทำเตาอย่างไรเล่า พวกเราไม่ต้องใช้แล้ว”

พวกเจ้าคอยดูละกันว่าข้าจะทำเตาอะไร

“ขนอิฐลง ขนลงให้หมด รอจนรถขนอิฐกลับไปแล้วพวกเราค่อยมาคุยกัน”

คนขับเกวียน “…” ที่นี่คือที่ใดกัน เด็กวิ่งกันเข้ามาเป็นกลุ่ม และยังมีคนเดินออกมาอีกมากมาย พวกเขาเป็นครอบครัวใหญ่หรือ

ตอนที่คนขับเกวียนมาถึงที่นี่เขารู้สึกตื่นเต้น แต่จนถึงตอนที่จากไปกลับไม่ได้พูดอะไร

คนขับรถขนอิฐกลับไปแล้ว ทานย่าหม่าจึงเรียกทุกคนมาสั่งการให้ช่วยขนอิฐทั้งหมดไปที่หลังบ้านท่านยายหวัง และนั่นก็คือประตูด้านหน้าห้องอบขนม

เมื่อเห็นประตูที่ทำเสร็จใหม่ มันดูดีกว่าตอนที่พวกเขาออกไปตั้งเยอะ ซ่งฝูหลิงที่ยืนอยู่กลางกลุ่มคน นางมองตาที่เหมือนกับเสี้ยวพระจันทร์อันคุ้นเคยของซ่งฝูเซิง

ท่านพ่อ มาช่วยจัดการห้องอบขนมให้แล้วสินะ

คนเยอะ การทำงานจึงง่าย เพียงแค่พริบตาอิฐก็ถูกขนไปจนหมด ทุกคนกำลังรอท่านย่าหม่าอธิบายว่า จะซื้ออิฐมาเพื่ออะไร โดยเฉพาะลูกสะใภ้จูซื่อและสะใภ้คนโตเหอซื่อ ทั้งสองคนร้อนใจ ต่างก็คิดไม่ตก

แต่ตอนนี้ท่านย่าหม่าท่าทางสงบนิ่งมาก “กับข้าวเสร็จหรือยัง”

ท่านยายหวัง “เสร็จตั้งนานแล้ว อยู่ในหม้อ กำลังอุ่นรอเจ้าอยู่”

“เริ่มกินข้าวได้” คำสั่งนี้ดีกว่าคำพูดของท่านลุงซ่งเสียอีก ไม่มีวิธีอื่น คนที่รับผิดชอบทำกับข้าวก็เป็นพี่สาวน้องสาวทั้งหลาย

ซุปผักกาดขาว ข้าวสวยหุงสุก

น้ำซุปผักกาดขาวเทลงบนข้าวสวย แต่ละคนสามารถตักผักกาดเค็มเพิ่มได้

คนที่มีแผ่นป้ายระดับสูงจะได้ตักข้าวก่อน และตามด้วยลำดับที่สองสอง สามสาม สี่สี่ เมื่อได้อาหารแล้ว ก็ไปหาที่นั่งที่อบอุ่นกินข้าว บวกกับน้ำซุป ที่สูดเข้าปากเสียงดังซู้ดๆ

และในขณะเดียวกัน ท่านย่าหม่าก็ตะโกนเรียกซ่งฝูเซิงกับซ่งหลี่เจิ้ง “นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่ทำงานเพื่อเอาเงินกองกลางแล้ว เมื่อผ่านเดือนสามไป ข้าจะขอตัดสินใจใหม่ว่าจะกลับมาทำงานเอาเงินกองกลางหรือไม่”

“อึ๊ก”

“แค่ก แค่ก แค่ก”

“เอ้อออ”

ณ เวลานี้ มีแต่เสียงเซ็งแซ่ เสียงพูดเต็มไปหมด เพราะเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังกินข้าว เมื่อได้ยินข่าวนี้หลายคนจึงถึงกับสำลักอาหาร

จูซื่อได้ยินข่าว สำลักจนน้ำตาไหล

ซ่งฝูเซิงกับภรรยามองหน้ากัน ทั้งสองคน เมื่อตอนกลางวันยังพูดกันว่าขนมเค้กซ่งฝูหลิงจะขายดีหรือไม่ ตอนนี้เจ้าคงไม่ต้องถามแล้วล่ะ ดูจากปฏิกิริยาของท่านแม่ก็คงรู้คำตอบ

ท่านลุงซ่งแปลกใจเป็นอย่างมาก มองไปที่ซ่งฝูเซิงแล้วพูดต่อ “ได้…ทุกคนได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ถ้าต้องการอย่างนี้ก็ตกลง”

“เพราะเหตุใดหรือท่านแม่” จูซื่อถือจานข้าวและรีบเดินไปข้างหน้าเพื่อถาม

ท่านย่าหม่าที่นั่งบนโต๊ะอยู่ข้างเตา กลืนข้าวลงคอก่อนหนึ่งคำแล้ว นางไม่มีทีท่าลังเลกับการตัดสินใจนี้ เงยหน้าลืมตาขึ้น “ทำไมข้าต้องรายงายเหตุผลเจ้า”

“ท่านแม่ ทำไมท่านจึงพูดเช่นนี้”

“ข้าพูดภาษาคนแล้ว หลบไป เจ้ากำลังบังแสงไฟข้า”

จูซื่อถูกดุ จริงๆ เหอซื่อก็อยากจะเดินขึ้นมาถาม แต่ก็ต้องรีบหุบปาก

กลับเป็นท่านยายสูงอายุหลายคนที่มาถามท่านย่าหม่าว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ ทำไมเรื่องมันถึงรวดเร็วขนาดนี้ ท่านย่าคิดสักครู่ เรื่องนี้กึ่งจริงกึ่งโกหก จึงพูดให้ทุกคนที่ผึ่งหูรอฟังอยู่

ทุกคนฟัง

“ระหว่างพวกเรา ข้าจะไม่พูดอะไรที่ไม่เป็นความจริง พั่งยาหลานข้าถึงจะกินเก่ง แต่นางก็ยังทำอาหารเก่งอีกด้วย ทุกวันบ่นอยากกินของอร่อย วันนี้ตอนเช้านางทำเค้กโบราณออกมา พวกเจ้าคงเห็นแล้วใช่หรือไม่ และเด็กๆ ได้ชิมแล้วใช่หรือไม่”

ท่านยายหวังบอกว่า “ข้ากินแล้ว ซูเหมียวบ้านข้าพูดทั้งวัน ขนมของพี่สาวพั่งยา รสชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง ข้าอยากจะถามเจ้าตั้งแต่ตอนเช้าแล้วว่าทำไมถึงได้หอมหวนชวนกินขนาดนี้”

“ใช่แล้ว ข้าก็คิดว่ามันหอม แต่ไม่ได้ให้พั่งยาบ้านข้ากิน แต่เก็บไว้ให้เด็กๆ บางส่วน ที่เหลือพวกเราก็แบกขนมออกไปแล้ว”

ท่านป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิง “เอาไปขายแล้วหรือ”

ทานย่าหม่ามองไปข้างหน้า “ใช่แล้ว พวกข้าขายหมดแล้ว ได้กำไรเท่าไหร่ข้าขอไม่พูด แต่พวกเราเหนื่อยมาก ถือว่าเป็นเงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรง ระหว่างเดินทางกลับมาข้าจึงคิดว่า ต่อไปนี้ก็จะเอาไปขายอีก แต่ข้าจะกลับมาทำกับข้าวไม่ทัน ข้าไม่สามารถทำให้ลูกสามเสียหน้าได้ เมื่อถึงตอนนั้น พวกเจ้าคงต้องรู้สึกไม่ดีแน่ๆ”

“เป็นไปได้อย่างไร” ท่านยายกัวเลิกคิ้วถาม “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ถ้าไม่มีเจ้า พวกเราก็ทำได้ แต่เจ้าจะไม่เอาเงินกองกลางได้อย่างไร”

ท่านป้าอีกคนพูดขึ้น “ใช่แล้ว เจ้าโง่หรือเปล่า จะไม่เอาเงินกองกลางแล้วหรือ อย่างไรนั่นคือเงินนะ เจ้ารับไปก่อน ถ้าเขาไม่ให้ทำแล้วค่อยบอกก็ได้”

พอแล้ว พวกท่านยายทั้งหลาย ข้ากล้าพูดจากใจ และบอกว่าต่อหน้าท่านลุงซ่ง กับซ่งฝูเซิง

ซ่งฝูหลิงหัวเราะในใจ ระหว่างเดินทางกลับ ท่านย่าของนาง ใจครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ จริงหรือที่คิดจะไม่ทำงานร่วมกับท่านยายทั้งหลาย เห็นอยากจะขายขนมเค้กและยังอยากเอาเงินกองกลางอยู่เลย

แต่เป็นเพราะนางอธิบายออกมาแบบนี้ นางถึงได้ยกเลิกความคิดนั้น

นางฟังคำพูดท่านย่าแล้วรู้สึกว่าช่างน่าฟัง ทั้งที่ระหว่างทางที่กำลังจะข้ามสะพาน ยังตัดสินใจไม่ได้อยู่เลย

“ไม่แล้ว ข้าไม่อยากทำให้ลูกสามลำบากใจ พวกเจ้าอย่าพูดอย่างนั้น พวกเราเป็นคนกันเอง อย่าทำให้ข้าลังเล เห็นผิดเป็นชอบ ถ้างานนี้เป็นการเอาเงินจากคนอื่นก็ว่าไปอย่าง”

ทุกคนฟัง ทุกคนกำลังครุ่นคิด เพราะเป็นแม่ของซ่งฝูเซิง ถึงมีลูกอย่างซ่งฝูเซิง เป็นคนที่มีสัจธรรมแบบนี้

ท่านยายเถียนถามนางในฐานะญาติว่า “เจ้าไม่ทำแล้วจริงๆ หรือ”

“อือ ใช่แล้ว อิฐก็ขนกลับมาแล้ว พวกข้าต้องการก่อเตาอีกหลายเตา หากพรุ่งนี้ทำขนมให้เยอะขึ้นก็สามารถหาเงินจากน้ำพักน้ำแรงตัวเองได้แล้ว พั่งยา ทำเยี่ยงนี้เรียกว่าอะไรหรือ”

“อาชีพอิสระ”

ท่านย่าหม่าวางถ้วยข้าวลง “ใช่แล้ว ข้าจะทำอาชีพอิสระกับหลานสาวข้า ต่อจากนี้ในทุกวันคงมากินข้าวกับทุกคนไม่ได้ ข้าเอาข้าวกองกลางไปกินได้ไหม”

“เป็นส่วนแบ่งของใครหรือ”

“เป็นส่วนแบ่งของข้ากับหลานข้า”

ซ่งฝูเซิง เฉียนเพ่ยอิงกับเฉียนหมี่โซ่ว ทั้งสามคนมีความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันใดเหมือนกันอะไรกัน ลูกสาว (พี่สาว) เพิ่งไปกับท่านย่าด้วยกันแค่วันเดียว พวกเขาเข้ากันได้ดีแล้วหรือ

ท่านยายสูงวัยเล่ห์เหลี่ยมเยอะนัก นางแบกอาหารสามมื้อไปด้วย นางคิดว่า ตอนเช้าจะต้มบะหมี่ไว้ให้กิน ยังเรียกคนมาช่วย เรียกซ่งฝูหลิงกับเฉียนเพ่ยอิง“พั่งยากินเสร็จหรือยัง เฉียนซื่อกินเสร็จก็ไปแล้ว ใครที่ไม่เอาเงินกองกลางกลับบ้านได้”

เพราะพวกเราทั้งสามมีอาชีพอิสระ

พวกเราไม่ต้องล้างจาน หากไม่รับเงินกองกลางก็ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว

ทั้งสามคนเดินหายไปจากสายตาของทุกคน ที่มองตามอย่างไม่เข้าใจในความซับซ้อนนั้น

ซ่งฝูเซิงกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว เขาเกือบหลุดหัวเราะออกมาแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว