เวลาตีสามกว่า ซ่งฝูเซิงเปิดประตูห้องอบขนมปัง
มองไปที่ภรรยาที่กำลังช่วยลูกสาวทำขนม ไม่ได้พูดอะไร
จากจึงไปหยิบเครื่องตีไข่ที่ชาร์จแบตเตอรีเสร็จแล้วออกมา เอาออกมาแล้วเขายื่นมือ เท้าสะเอว
ซ่งฝูเซิงใช้เท้าสะเอวสองข้างบอกว่า
“เจ้าจะทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ทำเล่นๆ ก็พอ ไปพูดกับท่านย่าของเจ้าเถอะ ถ้าอยากจะหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ข้าก็ไม่ห้าม…
…แต่เจ้าจะมาทำขนมแบบเอาเป็นเอาตาย ร่างกายก็ไม่ดูแล กลางคืนก็ไม่นอน เจ้าลองคิดดู เจ้าจะโตได้หรือ…
…ที่ข้าซื้อแม่วัวนมกลับมา ก็เพื่อให้เจ้าได้กินดีอยู่ดี ไม่ได้ให้เจ้าเอาชีวิตมาหาเงินอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนี้”
มือซ่งฝูหลิงยังไม่หยุด “ก็ตรงนี้ยังไม่มีคนมาช่วยไม่ใช่หรือ ให้ข้าไปสอนคนอื่นก็เสียเวลา แล้วก็จะใช้เครื่องตีไข่ก็ยิ่งไม่สะดวก ท่านย่าเองก็ยังไม่อนุญาตให้ข้าสอนคนอื่นทำ”
“อย่าไปฟังท่านย่าของเจ้า เขาไม่เคยทำการค้าการขาย เจ้าไม่เคยทำหรือไง คนแต่ละรุ่นจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น เจ้าจะเป็นคนเก่งเฉพาะทางเพื่ออะไร…
…ต้องสอนสิ่งที่เป็นพื้นฐานให้คนอื่น ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องใช้เวลาไปมากเหมือนกัน…
…เจ้าเคยกิน เจ้ารู้เรื่องรสชาติมากกว่าคนหลายๆ รุ่น ถูกคนอื่นเอางานฝีมือไปใช้จะเป็นอะไรไป ใครจะสามารถมาแข่งขันกับเจ้าได้หรือ…
…ถ้าเจ้าไม่มีเวลาว่าง ก็ทำแค่ขนมที่อร่อยๆ หรือไม่ก็ของแพงๆ ทำของที่ตัวเองชอบ เอามาทดลองกับตัวเองดู หากทำอย่างนี้ วันๆ ที่เจ้าอยู่ในห้องทำขนมถึงจะมีคุณค่ามากขึ้น…
…เจ้าดูสิ ขนาดท่านแม่ยังต้องมาช่วยงานเจ้า นางก็เลยไม่ได้นอนไปด้วยเหมือนกับเจ้า”
ซ่งฝูหลิงถูกสั่งสอนจึงรู้สึกไม่พอใจ ขนมเค้กหม้อใหม่เพิ่งถูกส่งเข้าไปในเตาอบ
“ท่านพ่อ ถึงแม้ความคิดของท่านย่าจะคับแคบไปหน่อยเรื่องป้องกันคนอื่นไม่ให้เลียนแบบและเก็บสูตรเป็นความลับไว้หาเงิน แต่ท่านก็ต้องยอมรับนะว่าการค้าขายต้องเริ่มต้นจากความร่วมมือกัน…
…มันเป็นความรู้ที่สืบทอดกันมา เป็นสัญญาร่วมกัน ถ้านางผิดสัญญา ท่านก็สามารถฟ้องร้องได้ เมื่อฟ้องร้องแล้ว เราก็ต้องมีวิธีแก้ปัญหา”
ซ่งฝูหลิงคิดว่า สังคมในปัจจุบัน หากฟ้องร้องชนะก็ยังเอาสูตรกลับมาไม่ได้ ดังนั้นที่นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะเป็นยุคที่อาศัยแค่น้ำใจและคุณธรรมความดีควบคุม ได้ยินคำพูดพวกนี้ หัวใจของซ่งฝูเซิงก็เกิดความซาบซึ้งขึ้นมา
ลูกสาวบอกว่า ความจริงของเรื่องก็เป็นเช่นนี้ นางจะทำให้มันยิ่งใหญ่ ที่แน่ๆ ทำคนเดียวไม่ได้ จะต้องมีคนไปช่วยดูแปลงปลูกพริก
อนาคตจะทำให้ยิ่งใหญ่ เมื่อพริกแดงโตขึ้นก็ต้องให้คนที่มีความรักและชอบในการปลูกพริกลงมาช่วยเก็บ หากมีใครขโมยเอาพริกนี้ไปเก็บไว้คนเดียว ทำแบบนี้พริกก็จะไม่ได้เป็นสินค้าสำหรับค้าขายของบ้านเขาแล้ว
หากไม่พูดถึงตรงนี้ เขาก็คงไม่กล้าปลูกลูกพลับ หนึ่งก็คือ ต้องใช้ผ้าคลุมทำโดมปลูกลูกพลับ จะต้องดูแลอย่างดี และอีกด้านหนึ่งก็คือต้องดูผลผลิตของปีนี้ วันที่ได้เก็บผลผลิตพริกในเวลาหนึ่งปี ดูว่าทุกคนจะเป็นอย่างไร
เพราะเป็นสามีภรรยากัน เมื่อมีความทุกข์ก็ต้องร่วมทุกข์ มีความสุขก็ร่วมสุข ไม่ต้องบอกว่าเป็นพวกใคร ใจของคนเป็นสิ่งที่ยากแท้หยั่งถึง
หลังจากเงินที่หาได้ในหนึ่งปี เมล็ดพริกจะถูกเอาออกไปใช้อย่างแพร่หลายแล้วหรือนี่
ซ่งฝูเซิงกล่าวว่า
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ทุกคนก็แยกย้าย พวกเรามารวมกลุ่มกันง่ายก็แยกย้ายกันได้ง่าย ให้เป็นรางวัลของคนที่นี่ก็แล้วกัน ให้คนทุกคนสามารถกินพริกได้ทุกบ้าน พวกเราก็ทำงานอย่างอื่น…
…ถ้ารู้ว่าพวกเราใช้ห้วงเวลาเพื่อเอาผลประโยชน์และมีหัวใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็เท่ากับทุกคนมีความเชื่อมโยงกัน…
…ไม่ว่าเรื่องอะไร พวกเราจะหาเงินสักก้อน ทำให้ได้ตามแผน ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยคือหากไม่เจอปัญหาในงานก็จะมีเรื่องให้แก่งแย่งชิงดีกันเสมอ…
…ไม่ต้องกลัวว่าข้าขอให้เจ้ามีต้องเก่งมากกว่าคนอื่น ขอแค่แข่งขันให้ชนะด้วยฝีมือของเจ้าเอง…
…ไม่ต้องกลัวหรอกลูกสาว เจ้าจงฟังคำพูดของพ่อ พวกเราสามคนไม่ว่าจะทำอะไร แค่หาเงินก็เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องหาเงินให้เต็มบ้าน หรือมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นทาสเงิน และนอกจากนี้ก็ยังมีอีกคำ”
“ยังมีอีกหรือ”
“จะใช้คนต้องไม่ลังเล ถ้าลังเลก็ไม่ต้องใช้” นี่คือจุดเริ่มต้นของการเลือกใช้คน เราต้องใช้หัวใจคิดวิเคราะห์ทุกอย่าง ถ้าเราคิดวิเคราะห์ทุกด้านเรียบร้อยแล้ว เขายังทำให้เราหมดความหวัง เช่นนั้นพวกเราก็ต้องยอมรับว่าสายตายังไม่กว้างไกล”
ซ่งฝูเซิงจากไปแล้ว เขาแค่รู้สึกว่าทนดูต่อไม่ได้จึงพูดคำพวกนี้ออกมาตอนตีสามกว่า ตอนนี้ลูกสาวทำงานเก่งขึ้นจนดูไม่เหมือนกับลูกสาวคนเดิมของเขาอีกต่อไป
เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงบนว่า “เขาเองก็ทำตามที่ตัวเองพูดไม่ได้ ยังจะพูดไปพูดมาจนข้าปวดหัว พ่อเจ้าไม่อยากให้เจ้าเป็นทาสของเงิน เขาตัวเขากลับตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นมาดูแลปลูกผักพวกนั้น คืออะไรหรือ”
ซ่งฝูหลิงหัวเราะออกมา
เฉียนเพ่ยอิงมองไปที่ลูกสาว
“ว่าแต่ จริงๆ พ่อของเจ้าก็พูดถูก ยิ่งนานวันเข้าเจ้าจะไม่เรียกคนมาช่วยไม่ได้ เจ้ากับท่านย่าของเจ้าต้องช่วยกันศึกษาเรื่องนี้…
…นี่คือเมืองถงเหยาเจิ้น พวกเจ้าสองคนจะตั้งร้าน เจ้าจะตั้งใจทำงานจริงจังหรือไม่…
…เจ้าเร่งมือเข้าเถอะ อีกสักครู่ท่านย่าก็จะมาขนขนมเค้กแล้ว รอให้เตาอบทำขนมเค้กออกมาเสร็จ เจ้ารีบกลับไปนอนพักผ่อน หมี่โซ่วฉี่รดที่นอนและผ้าห่มแล้วเจ้ายังไม่ได้หลับเลย”
เฉียนเพ่ยอิงพูดเสร็จก็เดินจากไป เพราะนางจะไปทำงานเป็นทาสเงินเหมือนกัน
ตอนนี้ตื่นนอนแล้ว เขากังวลใจจะรีบไปดูว่าพวกนั้นได้เอากระเทียมเหลืองใส่ลงในตะกร้าแล้วหรือไม่ ชุดที่ซ่งฝูหลิงใส่ก็คือเสื้อคลุมที่เขาเตรียมไว้เพื่อไม่ให้หนาวจนแข็งตาย
ซ่งฝูหลิงมองไปที่ห้องอบขนมและคิดว่า
คำพูดท่านแม่นั่นบอกเกี่ยวกับอะไร ทำไมรู้สึกเหมือนนางคิดว่าจะทำไม่ได้ บอกว่านางกับท่านย่าจะทำงานร่วมกันหรือ
กองไฟในบ้านส่องสว่าง ตะกร้าหลายใบบรรจุกระเทียมเหลืองจนเต็ม
ผลผลิตไม่เยอะ นี่คือครั้งแรกที่ปลูกกระเทียมเหลืองในห้องใต้ดิน กระเทียมเหลืองสี่ร้อยกว่าจินไม่ถึงสี่ร้อยห้าจิน ไม่มีวิธีนับที่ถูกต้องชัดเจน มีพื้นที่เท่าไหร่ก็ปลูกไป และใช้การคาดคะแนปริมาณเท่านั้น
แล้วกระเทียมปลูกออกมาเท่าไหร่กัน ชุดแรกคือกระเทียมเหลือง กระเทียมหนึ่งจินจะได้กระเทียมเหลืองแปดตำลึงกว่า ดังนั้น เมื่อใส่ลงในตะกร้าเพื่อชั่งตาชั่ง กระเทียมเหลืองจากห้องใต้ดินห้องแรก สามารถเก็บผลผลิตเพื่อขายออกมาได้ทั้งหมดสามร้อยสี่สิบสี่จิน
ท่านลุงซ่งแบ่งงานให้กับทุกคน ทุกคนต้องช่วยกันแบกกระเทียมเหลืองคนละแปดสิบจินเพื่อไปทดลองขาย
ซ่งฝูเซิงและเด็กหนุ่มจะไปที่เมืองเฟิ่งเทียน คงต้องแบกกระเทียมเหลืองไปเยอะหน่อย เพราะต้องแบ่งออกมายี่สิบกว่าจินเพื่อให้แม่ทัพเล็กด้วย
ท่านลุงซ่งกำชับว่า ถ้าพบแม่ทัพเล็ก…ซ่งฝูเซิงรีบพูดตัดบท “คงไม่ได้เจอหรอกท่านลุงซ่ง ต้องอาศัยโชคถึงจะเจอท่านได้ครั้งหนึ่ง พวกเราเป็นเป็นคนธรรมดา ส่วนท่านมีตำแหน่งและยศฐาบรรดาศักดิ์ พวกเราสามารถส่งกระเทียเหลืองเข้าไปในตำหนักได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
ท่านลุงซ่งกำชับเหมือนอวยพรทุกคน ร้องถามทุกคนว่า “มัดกระเทียมดีหรือยัง ของพวกนี้ราคาแพงมากนะ กลัวจะเน่าเสียและก็กลัวเป็นน้ำแข็งระหว่างทาง”
ผู้หญิงที่กำลังมัดกระเทียมเหลืองบอกว่า “มัดแน่นดีแล้ว”
ชั้นนอกของตะกร้าเป็นกระดาษไข สามารถป้องกันหิมะและก็ความชื้นได้
ด้านล่างถัดจากกระดาษไขคือผ้าฝ้ายสองชั้น ผ้าฝ้ายให้ความอบอุ่น แต่ผ้าฝ้ายไม่ได้นำมาใช้เพื่อคลุมกระเทียมเหลืองโดยตรง เพราะกลัวจะทำให้ผักเน่าเสีย ข้างในผ้าจะต้องมีกระดาษไขรองเอาไว้หนึ่งชั้น หลังจากนั้ จึงนำกระเทียมเหลืองที่ทำให้แห้งแล้ววางไว้ข้างในสุด ใช้เชือกมัดกระดาษไขให้แน่นอีกที
ขั้นตอนสุดท้ายคือเอามันวางไว้บนรถเข็น ชั้นบนสุดห่อด้วยผ้าฝ้าย ด้านนอกของผ้าฝ้ายวางทับด้วยเสื่อถักไว้สองชั้น
เมื่อห่อไว้อย่างดี ตะกร้าหนึ่งใบจะอยู่บนรถเข็นหนึ่งคัน ดูแล้วตะกร้านั้นช่างน่าสงสาร เพราะดูเหงาๆ ไม่มีเพื่อน
ส่วนท่านย่าหม่าก็พาซ่งอิ๋นเฟิ่งไปเอาเข่งนึ่งมาใส่รถเข็นวางเรียงเป็นชั้นๆ เพื่อเตรียมไปส่งขนมเค้ก ทุกคนก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกว่าน้ำลายกำลังไหล
แต่จนถึงวันนี้ พวกเขาก็ยังไม่เคยเห็นว่าขนมเค้กหนึ่งม้อขายได้เงินเท่าไหร่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...