ทะลุมิติทั้งครอบครัว นิยาย บท 237

เวลาตีสามกว่า ซ่งฝูเซิงเปิดประตูห้องอบขนมปัง

มองไปที่ภรรยาที่กำลังช่วยลูกสาวทำขนม ไม่ได้พูดอะไร

จากจึงไปหยิบเครื่องตีไข่ที่ชาร์จแบตเตอรีเสร็จแล้วออกมา เอาออกมาแล้วเขายื่นมือ เท้าสะเอว

ซ่งฝูเซิงใช้เท้าสะเอวสองข้างบอกว่า

“เจ้าจะทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ทำเล่นๆ ก็พอ ไปพูดกับท่านย่าของเจ้าเถอะ ถ้าอยากจะหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ข้าก็ไม่ห้าม…

…แต่เจ้าจะมาทำขนมแบบเอาเป็นเอาตาย ร่างกายก็ไม่ดูแล กลางคืนก็ไม่นอน เจ้าลองคิดดู เจ้าจะโตได้หรือ…

…ที่ข้าซื้อแม่วัวนมกลับมา ก็เพื่อให้เจ้าได้กินดีอยู่ดี ไม่ได้ให้เจ้าเอาชีวิตมาหาเงินอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนี้”

มือซ่งฝูหลิงยังไม่หยุด “ก็ตรงนี้ยังไม่มีคนมาช่วยไม่ใช่หรือ ให้ข้าไปสอนคนอื่นก็เสียเวลา แล้วก็จะใช้เครื่องตีไข่ก็ยิ่งไม่สะดวก ท่านย่าเองก็ยังไม่อนุญาตให้ข้าสอนคนอื่นทำ”

“อย่าไปฟังท่านย่าของเจ้า เขาไม่เคยทำการค้าการขาย เจ้าไม่เคยทำหรือไง คนแต่ละรุ่นจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น เจ้าจะเป็นคนเก่งเฉพาะทางเพื่ออะไร…

…ต้องสอนสิ่งที่เป็นพื้นฐานให้คนอื่น ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องใช้เวลาไปมากเหมือนกัน…

…เจ้าเคยกิน เจ้ารู้เรื่องรสชาติมากกว่าคนหลายๆ รุ่น ถูกคนอื่นเอางานฝีมือไปใช้จะเป็นอะไรไป ใครจะสามารถมาแข่งขันกับเจ้าได้หรือ…

…ถ้าเจ้าไม่มีเวลาว่าง ก็ทำแค่ขนมที่อร่อยๆ หรือไม่ก็ของแพงๆ ทำของที่ตัวเองชอบ เอามาทดลองกับตัวเองดู หากทำอย่างนี้ วันๆ ที่เจ้าอยู่ในห้องทำขนมถึงจะมีคุณค่ามากขึ้น…

…เจ้าดูสิ ขนาดท่านแม่ยังต้องมาช่วยงานเจ้า นางก็เลยไม่ได้นอนไปด้วยเหมือนกับเจ้า”

ซ่งฝูหลิงถูกสั่งสอนจึงรู้สึกไม่พอใจ ขนมเค้กหม้อใหม่เพิ่งถูกส่งเข้าไปในเตาอบ

“ท่านพ่อ ถึงแม้ความคิดของท่านย่าจะคับแคบไปหน่อยเรื่องป้องกันคนอื่นไม่ให้เลียนแบบและเก็บสูตรเป็นความลับไว้หาเงิน แต่ท่านก็ต้องยอมรับนะว่าการค้าขายต้องเริ่มต้นจากความร่วมมือกัน…

…มันเป็นความรู้ที่สืบทอดกันมา เป็นสัญญาร่วมกัน ถ้านางผิดสัญญา ท่านก็สามารถฟ้องร้องได้ เมื่อฟ้องร้องแล้ว เราก็ต้องมีวิธีแก้ปัญหา”

ซ่งฝูหลิงคิดว่า สังคมในปัจจุบัน หากฟ้องร้องชนะก็ยังเอาสูตรกลับมาไม่ได้ ดังนั้นที่นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะเป็นยุคที่อาศัยแค่น้ำใจและคุณธรรมความดีควบคุม ได้ยินคำพูดพวกนี้ หัวใจของซ่งฝูเซิงก็เกิดความซาบซึ้งขึ้นมา

ลูกสาวบอกว่า ความจริงของเรื่องก็เป็นเช่นนี้ นางจะทำให้มันยิ่งใหญ่ ที่แน่ๆ ทำคนเดียวไม่ได้ จะต้องมีคนไปช่วยดูแปลงปลูกพริก

อนาคตจะทำให้ยิ่งใหญ่ เมื่อพริกแดงโตขึ้นก็ต้องให้คนที่มีความรักและชอบในการปลูกพริกลงมาช่วยเก็บ หากมีใครขโมยเอาพริกนี้ไปเก็บไว้คนเดียว ทำแบบนี้พริกก็จะไม่ได้เป็นสินค้าสำหรับค้าขายของบ้านเขาแล้ว

หากไม่พูดถึงตรงนี้ เขาก็คงไม่กล้าปลูกลูกพลับ หนึ่งก็คือ ต้องใช้ผ้าคลุมทำโดมปลูกลูกพลับ จะต้องดูแลอย่างดี และอีกด้านหนึ่งก็คือต้องดูผลผลิตของปีนี้ วันที่ได้เก็บผลผลิตพริกในเวลาหนึ่งปี ดูว่าทุกคนจะเป็นอย่างไร

เพราะเป็นสามีภรรยากัน เมื่อมีความทุกข์ก็ต้องร่วมทุกข์ มีความสุขก็ร่วมสุข ไม่ต้องบอกว่าเป็นพวกใคร ใจของคนเป็นสิ่งที่ยากแท้หยั่งถึง

หลังจากเงินที่หาได้ในหนึ่งปี เมล็ดพริกจะถูกเอาออกไปใช้อย่างแพร่หลายแล้วหรือนี่

ซ่งฝูเซิงกล่าวว่า

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ทุกคนก็แยกย้าย พวกเรามารวมกลุ่มกันง่ายก็แยกย้ายกันได้ง่าย ให้เป็นรางวัลของคนที่นี่ก็แล้วกัน ให้คนทุกคนสามารถกินพริกได้ทุกบ้าน พวกเราก็ทำงานอย่างอื่น…

…ถ้ารู้ว่าพวกเราใช้ห้วงเวลาเพื่อเอาผลประโยชน์และมีหัวใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็เท่ากับทุกคนมีความเชื่อมโยงกัน…

…ไม่ว่าเรื่องอะไร พวกเราจะหาเงินสักก้อน ทำให้ได้ตามแผน ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยคือหากไม่เจอปัญหาในงานก็จะมีเรื่องให้แก่งแย่งชิงดีกันเสมอ…

…ไม่ต้องกลัวว่าข้าขอให้เจ้ามีต้องเก่งมากกว่าคนอื่น ขอแค่แข่งขันให้ชนะด้วยฝีมือของเจ้าเอง…

…ไม่ต้องกลัวหรอกลูกสาว เจ้าจงฟังคำพูดของพ่อ พวกเราสามคนไม่ว่าจะทำอะไร แค่หาเงินก็เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องหาเงินให้เต็มบ้าน หรือมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นทาสเงิน และนอกจากนี้ก็ยังมีอีกคำ”

“ยังมีอีกหรือ”

“จะใช้คนต้องไม่ลังเล ถ้าลังเลก็ไม่ต้องใช้” นี่คือจุดเริ่มต้นของการเลือกใช้คน เราต้องใช้หัวใจคิดวิเคราะห์ทุกอย่าง ถ้าเราคิดวิเคราะห์ทุกด้านเรียบร้อยแล้ว เขายังทำให้เราหมดความหวัง เช่นนั้นพวกเราก็ต้องยอมรับว่าสายตายังไม่กว้างไกล”

ซ่งฝูเซิงจากไปแล้ว เขาแค่รู้สึกว่าทนดูต่อไม่ได้จึงพูดคำพวกนี้ออกมาตอนตีสามกว่า ตอนนี้ลูกสาวทำงานเก่งขึ้นจนดูไม่เหมือนกับลูกสาวคนเดิมของเขาอีกต่อไป

เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงบนว่า “เขาเองก็ทำตามที่ตัวเองพูดไม่ได้ ยังจะพูดไปพูดมาจนข้าปวดหัว พ่อเจ้าไม่อยากให้เจ้าเป็นทาสของเงิน เขาตัวเขากลับตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นมาดูแลปลูกผักพวกนั้น คืออะไรหรือ”

ซ่งฝูหลิงหัวเราะออกมา

เฉียนเพ่ยอิงมองไปที่ลูกสาว

“ว่าแต่ จริงๆ พ่อของเจ้าก็พูดถูก ยิ่งนานวันเข้าเจ้าจะไม่เรียกคนมาช่วยไม่ได้ เจ้ากับท่านย่าของเจ้าต้องช่วยกันศึกษาเรื่องนี้…

…นี่คือเมืองถงเหยาเจิ้น พวกเจ้าสองคนจะตั้งร้าน เจ้าจะตั้งใจทำงานจริงจังหรือไม่…

…เจ้าเร่งมือเข้าเถอะ อีกสักครู่ท่านย่าก็จะมาขนขนมเค้กแล้ว รอให้เตาอบทำขนมเค้กออกมาเสร็จ เจ้ารีบกลับไปนอนพักผ่อน หมี่โซ่วฉี่รดที่นอนและผ้าห่มแล้วเจ้ายังไม่ได้หลับเลย”

เฉียนเพ่ยอิงพูดเสร็จก็เดินจากไป เพราะนางจะไปทำงานเป็นทาสเงินเหมือนกัน

ตอนนี้ตื่นนอนแล้ว เขากังวลใจจะรีบไปดูว่าพวกนั้นได้เอากระเทียมเหลืองใส่ลงในตะกร้าแล้วหรือไม่ ชุดที่ซ่งฝูหลิงใส่ก็คือเสื้อคลุมที่เขาเตรียมไว้เพื่อไม่ให้หนาวจนแข็งตาย

ซ่งฝูหลิงมองไปที่ห้องอบขนมและคิดว่า

คำพูดท่านแม่นั่นบอกเกี่ยวกับอะไร ทำไมรู้สึกเหมือนนางคิดว่าจะทำไม่ได้ บอกว่านางกับท่านย่าจะทำงานร่วมกันหรือ

กองไฟในบ้านส่องสว่าง ตะกร้าหลายใบบรรจุกระเทียมเหลืองจนเต็ม

ผลผลิตไม่เยอะ นี่คือครั้งแรกที่ปลูกกระเทียมเหลืองในห้องใต้ดิน กระเทียมเหลืองสี่ร้อยกว่าจินไม่ถึงสี่ร้อยห้าจิน ไม่มีวิธีนับที่ถูกต้องชัดเจน มีพื้นที่เท่าไหร่ก็ปลูกไป และใช้การคาดคะแนปริมาณเท่านั้น

แล้วกระเทียมปลูกออกมาเท่าไหร่กัน ชุดแรกคือกระเทียมเหลือง กระเทียมหนึ่งจินจะได้กระเทียมเหลืองแปดตำลึงกว่า ดังนั้น เมื่อใส่ลงในตะกร้าเพื่อชั่งตาชั่ง กระเทียมเหลืองจากห้องใต้ดินห้องแรก สามารถเก็บผลผลิตเพื่อขายออกมาได้ทั้งหมดสามร้อยสี่สิบสี่จิน

ท่านลุงซ่งแบ่งงานให้กับทุกคน ทุกคนต้องช่วยกันแบกกระเทียมเหลืองคนละแปดสิบจินเพื่อไปทดลองขาย

ซ่งฝูเซิงและเด็กหนุ่มจะไปที่เมืองเฟิ่งเทียน คงต้องแบกกระเทียมเหลืองไปเยอะหน่อย เพราะต้องแบ่งออกมายี่สิบกว่าจินเพื่อให้แม่ทัพเล็กด้วย

ท่านลุงซ่งกำชับว่า ถ้าพบแม่ทัพเล็ก…ซ่งฝูเซิงรีบพูดตัดบท “คงไม่ได้เจอหรอกท่านลุงซ่ง ต้องอาศัยโชคถึงจะเจอท่านได้ครั้งหนึ่ง พวกเราเป็นเป็นคนธรรมดา ส่วนท่านมีตำแหน่งและยศฐาบรรดาศักดิ์ พวกเราสามารถส่งกระเทียเหลืองเข้าไปในตำหนักได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”

ท่านลุงซ่งกำชับเหมือนอวยพรทุกคน ร้องถามทุกคนว่า “มัดกระเทียมดีหรือยัง ของพวกนี้ราคาแพงมากนะ กลัวจะเน่าเสียและก็กลัวเป็นน้ำแข็งระหว่างทาง”

ผู้หญิงที่กำลังมัดกระเทียมเหลืองบอกว่า “มัดแน่นดีแล้ว”

ชั้นนอกของตะกร้าเป็นกระดาษไข สามารถป้องกันหิมะและก็ความชื้นได้

ด้านล่างถัดจากกระดาษไขคือผ้าฝ้ายสองชั้น ผ้าฝ้ายให้ความอบอุ่น แต่ผ้าฝ้ายไม่ได้นำมาใช้เพื่อคลุมกระเทียมเหลืองโดยตรง เพราะกลัวจะทำให้ผักเน่าเสีย ข้างในผ้าจะต้องมีกระดาษไขรองเอาไว้หนึ่งชั้น หลังจากนั้ จึงนำกระเทียมเหลืองที่ทำให้แห้งแล้ววางไว้ข้างในสุด ใช้เชือกมัดกระดาษไขให้แน่นอีกที

ขั้นตอนสุดท้ายคือเอามันวางไว้บนรถเข็น ชั้นบนสุดห่อด้วยผ้าฝ้าย ด้านนอกของผ้าฝ้ายวางทับด้วยเสื่อถักไว้สองชั้น

เมื่อห่อไว้อย่างดี ตะกร้าหนึ่งใบจะอยู่บนรถเข็นหนึ่งคัน ดูแล้วตะกร้านั้นช่างน่าสงสาร เพราะดูเหงาๆ ไม่มีเพื่อน

ส่วนท่านย่าหม่าก็พาซ่งอิ๋นเฟิ่งไปเอาเข่งนึ่งมาใส่รถเข็นวางเรียงเป็นชั้นๆ เพื่อเตรียมไปส่งขนมเค้ก ทุกคนก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกว่าน้ำลายกำลังไหล

แต่จนถึงวันนี้ พวกเขาก็ยังไม่เคยเห็นว่าขนมเค้กหนึ่งม้อขายได้เงินเท่าไหร่

ไม่ต้องสนใจว่าได้เงินเท่าไหร่ แต่พวกเจ้าดูนั่น คนขนขนมเค้กหนึ่งร้อยหม้อบนรถเข็น มองยังไงก็รู้สึกว่ามีพลัง มองนานๆ ก็รู้สึกได้ว่ากำลังค้าขายสินค้าที่มีราคาแพง

ออกเดินทางเวลาประมาณตีสี่ครึ่ง รวมท่านย่าหม่ากับลูกสาวก็เป็นคนสี่คนที่ออกเดินทางพร้อมกัน ถงเหยาเจิ้นเป็นเมืองทางผ่าน สามารถเลี้ยวไปทางด้านซ้ายหรือจะอ้อมไปทางด้านขวาก็ได้ แต่ซ่งฝูเซิงเลือกที่จะเดินไปข้างหน้า

แต่ท่านย่าหม่าพาเกาถูฮู่และหลานคนโต มุ่งตรงไปที่โรงเตี๊ยม

เกาถูฮู่เดินตามหลังท่านย่าหม่า ในขณะเดียวกันเขาก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า ยังไม่ต้องรอให้ขายกระเทียมเหลืองได้เขาก็รู้สึกว่าได้เปิดหูเปิดตา เห็นโลกมากขึ้นแล้ว

รถของโรงเตี๊ยมจอดรอท่านย่าหม่าอยู่หน้าประตู และยังแบ่งคนอีกสองกลุ่มเพื่อรอ

คนกลุ่มแรกช่วยขนที่นึ่งลงจากรถเข็นและยกขึ้นรถของโรงเตี๊ยมทันที

และอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อขนของที่ขายในชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม

ท่านย่าหม่าเข้ามาในห้องเพื่อรับเงิน จั่งกุ้ยเอาลูกคิดมาดีดคิดบัญชี นางบอกจั่งกุ้ยคนนั้นว่าราคาเท่าไร แถมยังบอกว่าหลานสาวคิดคำนวนราคาไว้แล้ว

เกาถูฮู่กับซ่งฝูเซิงสองพี่น้องจ้องมองไปที่ท่านย่าหม่า ที่กำลังนำเงินเป็นวงๆ ยัดเข้าไปในกระเป๋า พระเจ้าช่วย ได้เงินเยอะขนาดนี้เลยหรือ

ท่านย่าหม่ายัดเงินใส่กระเป๋าเสร็จก็หัวเราะจนตีนกาขึ้นเต็มใบหน้า และแนะนำจั่งกุ้ยว่า “วันนี้ข้าจะให้ท่านดูผักสด ท่านต้องไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เข้ามาดูเถิด ถ้าโรงเตี๊ยมของท่านซื้อมาทำอาหารขายให้แขก ข้ารับรองว่าจะต้องไม่มีใครเหมือนเป็นแน่”

จั่งกุ้ยไม่รีบร้อน หัวเราะเหอะๆๆ ถามท่าย่าหม่า “ท่านรอข้าสักครู่ ท่านทำขนมเค้กโบราณให้เพิ่มอีกได้หรือไม่”

“อะไรนะ”

จั่งกุ้ยกล่าวต่อว่า “ข้าไม่ปิดบังท่าน เค้กเก้าสิบเก้าก้อนนี้ข้าจะเก็บเอาไว้จัดงานวันเกิด ถ้าเขากินแล้วรสชาติดี สนใจรสชาติที่ไม่เคยกินมาก่อน ถ้าอยากจองก็ต้องจองกับโรงเตี๊ยมเท่านั้น…

…จะว่าไป เถ้าแก่ยังมีเพื่อนที่เป็นเศรษฐีอีกหลายคน ตอนนี้บิดาของเจ้าของที่ดินจัดงานวันเกิดให้ หรือว่าบ้านขุนนางจัดงานฤดูหนาวชมดอกไม้ ก็น่าจะจองขนมเพิ่ม…

…นี่เป็นผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โรงเตี๊ยมพวกเราจะรับผิดชอบในการจองให้ ขายไปเท่าไหร่ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า แต่พวกเจ้ามีหน้าที่แค่เป็นคนส่งขนมเค้ก พวกเจ้ามีกำลังทำให้ข้าได้หรือไม่”

ท่านย่าหม่าฟังจบก็กัดฟันแนะนำร้านอื่นให้แทน หลานสาวนางทำขนมเหนื่อยยากลำบาก ใช้เงินมากเท่าไหร่ก็แลกกลับมาไม่ได้ นางตอบกลับอย่างไร้ความหวัง “ถ้าเจ้าสั่งเจ็ดวันหนึ่งครั้ง แบบนั้นไม่แน่ว่าอาจจะทำได้ แต่ถ้าพวกเจ้าสั่งติดต่อกันทุกวัน พวกข้าคงทำไม่ได้”

“อ๋อ…เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่ถ้าพวกเจ้าคิดว่าทำได้ก็บอกมา” จั่งกุ้ยรู้สึกเสียดายแทนและจะมีผลต่อการทำการค้าของโรงเตี๊ยม เงินจะถึงมืออยู่แล้วเชียว

อย่าคิดว่ามีแค่ท่านย่าหม่าที่ได้ยินคำนี้แล้วรู้สึกอึดอัดหัวใจ เกาถูฮู่เอง เมื่อได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกร้อนใจเช่นกัน

ทุกคนอยากจะหาวิธีหาเงินให้ได้เยอะๆ แต่คิดไม่ถึงจุดนี้ พวกเราจะปล่อยให้เงินบินผ่านไปหรือ เรื่องนี้ทำให้รู้สึกเสียดายเหลือเกิน

คนที่มาขายกระเทียมเหลืองหลายคนรู้สึกว่าหัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เขารับเงินค่ากระเทียมเหลืองแปดสิบจิน ขายราคาหกสิบเหวิน ราคาตอนนี้เป็นมาตรฐานทั้งประเทศ เป็นราคาเดียวกัน คนที่กำหนดราคานี้คือซ่งฝูเซิง อย่าเอากระเทียมเหลืองมาเปรียบเทียบ ไม่มีอะไรน่าสนใจ

ไม่รู้ว่าความรู้สึกจะดีขึ้นเมื่อไหร่

เกาถูฮู่และผู้ชายร่างกายกำยำสามคนมาส่งท่านย่าหม่าที่หอนางโลม สีจากดวงตาของพวกเขาเปลี่ยนไปแล้ว

หญิงสาวเหล่านั้นจะยังไม่ตื่นและพวกเขาเลือกจะรออยู่ประตูข้างๆ หอนางโลม ท่านย่าหม่าพาซ่งอิ๋นเฟิ่งเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมเพื่อส่งขนมเค้ก แต่พวกเขากลับรู้สึกว่า “ไอ้หยา ได้เห็นผู้หญิงในโรงเตี๊ยมนี่แล้ว นับว่าไม่เสียชาติเกิด ได้เข้ามาในหอนางโลมแล้ว ถึงจะเป็นแค่ประตูด้านข้างก็นับว่าอยู่ในหอไม่ใช่หรือ”

แต่ว่าท่านย่าหม่าไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นตกใจอะไร จึงพาเกาถูฮู่ไปร้านขายยาต่อเพื่อขายหนังหมู

ท่านย่าหม่าสติปัญญาดีกว่าคนอื่นมาก นางเข้ามาในเมืองไม่กี่ครั้งแต่กลับมีความกล้ามากยิ่งขึ้น สมองคิดวิเคราะห์ได้เร็วเร็วฉับไวขึ้น

นางเข้าไปถามหมอที่อยู่ในร้านยา “หนังหมูใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง ที่บ้านข้ามีหนังหมูอยู่หนึ่งแผ่น”

ท่านหมอบอกว่า “หนังหมูสามารถลดพิษ รักษาฝีหนอง และยังรักษาคนไข้ไอเรื้อรังได้ แต่ว่าพวกเจ้าอย่าใช้เอง พวกเจ้าไม่รู้วิธีทำยา อย่างมากพวกเจ้าก็เอาไปทำเยลลี่หนังหมูกิน ถ้าจะให้ดีต้องส่งมาให้พวกข้าทำยาดีกว่า”

ท่านย่าหม่าเคยได้ยินเรื่องโรคไอเรื้อรังเนื่องจากร่างกายอ่อนเพลีย ส่วนการขจัดพิษ อันนี้ก็ถือว่าเป็นโรคด้วยหรือ ถ้าไม่เรียกราคาให้สูงๆ ก็คงไม่เหมาะสม ทำไมได้ยินสี่ฟาบอกว่าขายหนังหมูสามจินได้หนึ่งเหวิน สุดท้ายก็ต้องออกไปในราคาถูกๆ ถูกจนไม่คุ้มกับค่าถลกหนังเลย

ท่านแม่ ท่านโดนคนอื่นหลอกแล้วล่ะ

ท่านย่าหม่าสั่งคนที่อยู่ข้างนอกให้เอาหนังหมูเข้ามาข้างเพื่อในให้ทุกคนดู แต่ว่าหมอร้านนี้ให้ราคาดีกว่าร้านก่อนหน้าเล็กน้อย ให้ราคาหนึ่งเหวิน สิบจิน แต่ท่านย่าหม่ารู้สึกว่าคนพวกนี้ยังเอาเปรียบอยู่ดี แถมยังรู้ว่าพวกนางปรุงยาไม่เป็น

“พวกข้าไม่เอาเงิน แต่จะเอามันมาแลกกับยา”

“แลกกับยาอะไร”

“ยาแก้ปวดหัวตัวร้อน”

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าของพวกนี้มีต้นทุนไม่สูง

สิงโตอ้าปาก ต้องรู้ว่าหากจะซื้อยาต้องไปที่ไหน ถ้าไม่ใช่คนยากจนแร้นแค้น ต้องรีบรักษา นางเข้าใจความคิดของคนพวกนี้

ท่านย่าไม่รู้ว่าเปลือกต้นไม้พวกนี้สามารถรักษาเหาได้ แต่ราคาไม่แพง

ท่านย่าหม่ากำลังเดินกลับเข้าไป ซ่งอิ๋นเฟิ่งใช้สายตาห้ามไว้ให้หยุด

“ท่านแม่ เมื่อครู่ท่านทะเลาะกับคนอื่นหรือ แต่ข้ารู้สึกว่าเขาพูดมีเหตุผลนะ หากมีคนยอมขายแล้วเราพอใจในราคานั้น เขาบอกเราว่าขายทุกคนในราคานี้ก็อย่าได้ทะเลาะกันเลย”

ท่านย่าหม่าโกรธจนเกือบจะเป็นลม

“แต่ว่าท่านแม่ ท่านใช้หนังหมูของคนอื่นมาแลกยาฆ่าเหา ท่านจำเป็นต้องทำ?”

ไม่รอให้ซ่งอิ๋นเฟิ่งพูดจบประโยค เกาถูฮู่ได้ยินเรื่องที่นางพูด ยิ่งรู้สึกงงเข้าไปอีก เอาไปแลกน้ำมันอะไรกัน

ถ้าพวกเขายอมซื้อหนังหมูสองจินในราคาหนึ่งเหวิน อย่างน้อยเราก็ได้เงิน ไม่อยากได้ของที่กินไม่ได้ อย่าบอกว่าเหาเป็นโรคประเภทหนึ่ง ในความคิดของชาวบ้าน ทุกบ้านก็เป็นเหา เหาจึงไม่นับว่าเป็นโรค

ท่านย่าหม่าใช้มือถูกัน โกรธจนหน้าเบี้ยว ยกมือห้ามคนเข็นก่อนรถบอกว่า “เจ้าอย่าบอกว่าน้าเอาเปรียบ เมื่อครู่ขายหนังหมูหนึ่งเหวินไปสองจิน ดูตามราคายานี้ก็แล้วกัน ข้าจะให้พวกเจ้าคิดเงินว่าเท่ากับยานี้จำนวนสิบขวดหรือ?…

…เข้าใจแล้ว ข้าจะซื้อกลับไปให้หลานสาวข้า ข้าไม่อยากให้หลานสาวข้ากลัวยาจะหมด ให้นางทาจนพอใจ เทวดาฟ้าดิน ข้าปวดใจ”

เกาถูฮู่บอกว่า “มันเป็นเงินไม่เท่าไหร่ ไม่ต้องคิดแล้ว ท่านอย่าพูดไป ท่านอย่าคิดเป็นคนอื่นไกล ถ้าไม่เชื่อข้า ท่านกลับไปถามทุกคน ถ้าท่านจะให้เงินข้า ทุกคนคงจะโมโห”

จากนั้น พวกนางกลับไปรอเอาเข่งนึ่งที่ว่างเปล่าจากโรงเตี๊ยม หลังจากที่พวกเขาส่งเค้กให้ร้านค้าเจ้าใหญ่แล้ว พวกนางต้องใช้เวลารออีกหนึ่งชั่วยาม

ระหว่างที่รอ พวกเขายังออกไปเดินเล่น ช่วยคนในหมู่บ้านซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ ถึงเวลามีวันที่ดีแล้ว เมื่อตอนที่ออกมาไม่มีใครฝากซื้อของเพราะกลัวพวกเขาต้องลำบากขนกลับ แต่ตอนกลับพวกเขาก็ไม่อยากกลับไปมือเปล่า ถ้าซื้อกลับไปก็ได้ใช้อยู่แล้ว อย่างเช่น เข็ม ด้าย จากนั้นจึงเดินทางกลับจากถงเหยาเจิ้น

ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งซ่งฝูเซิงที่ขายกระเทียมเหลืองเสร็จแล้ว พากัวคนโตกับต้าหลังเดินไปถามข่าวคราวของจวนกั๋วกง ไม่ใช่ทุกคนจะรู้จัก แต่โชคดีที่พวกเขาถามจนเจอ เข้าไปถามถึงหน้าประตูเมือง

“ไอ้หยา ถนนเส้นนี้ช่างโอ่อ่า ข้างในมีตึกเต็มไปหมด มีทั้งบ้าน ทั้งอาคาร เรียกว่าจวนกั๋วกงหรือนี่” กัวคนโตรู้สึกตกตะลึง

ที่เขาพูดไม่ได้เกินจริง ตั้งแต่เดินมาถึงตรงนี้ เมื่อเท้าเหยียบไปบนแผ่นดินนี้ ช่างให้ความรู้สึกแตกต่าง ไม่เหมือนกัน

ต้าหลังรู้สึกตื่นเต้น “ลุงสาม ถนนเส้นนี้เขาให้ชาวบ้านเดินเพ่นพ่านได้หรือ อย่าให้ข้าถูกจับไปล่ะ”

ซ่งฝูเซิงรู้สึกว่า เกิดเป็นคนเหมือนกัน แต่วาสนาช่างแตกต่างกันมาก

ตอนนี้นับว่ายังดี ทุกคนมีความเสมอภาค จะมีเงินหรือไม่มีเงิน พวกเราก็ไม่ขอร้องใคร คนในสมัยก่อน ฐานะถือเป็นสิ่งสำคัญ…

เขาเป็นคนในยุคปัจจุบัน ขนาดเคยไปเที่ยวมาแล้วทุกสวนสาธารณะยังตกตะลึงกับสถานที่ที่เรียกว่ากั๋วกงแห่งนี้มาก

แม้จะเข้าไปดูข้างในไม่ได้ แต่ก็รู้สึกได้ว่าแค่ถนนด้านนอก ก็ให้ความรู้สึกสง่างามและเคร่งขรึมไม่น้อย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว