หมี่โซ่วนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตา ยิ้มตาหยีเหมือนกับพระสังกัจจายน์ เขายิ้มแย้มอย่างมีความสุข เพียงไม่กี่วินาที มือน้อยๆ สิบกว่ามือก็ยื่นเข้าไปในแป้งเปียกเพื่อควักเข้าปากกิน
อยากห้ามปราม แต่ก็ห้ามไว้ไม่ทัน
จับคนนี้ได้ จับคนนั้นไว้ไม่อยู่ แต่ละคนปากมอมแมมเต็มไปด้วยแป้งเปียก และเกือบทำถ้วยที่วางไว้แตก
ยายากำกำปั้นน้อยๆ นางใช้นิ้วชี้แตะแป้งเปียกมาดูดกิน
ซ่งฝูหลิง อ๊าห์ ข้าไม่อยากดูแลเด็กๆ แล้ว
แต่นางไม่มีหน้าแล้ว นางชอบอยู่กับพวกเด็กๆ และยังชอบสั่งให้เด็กๆ ทำงาน
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ในบ้านของซ่งฝูเซิงก็มีเสียงร้องเพลงที่พี่พั่งยาเพิ่งสอนใหม่ดังออกมา
เด็กน้อยสิบเจ็ดคนร้องเพลงพร้อมกัน
“คุณชายน้อยแบกกระเป๋าไปโรงเรียน ไม่กลัวแสงแดดแผดเผาและพายุฝนโหมกระหน่ำ กลัวเพียงท่านอาจารย์ตำหนิว่าข้าขี้เกียจ ไม่มีความรู้ ไม่มีหน้าไปพบท่านพ่อท่านแม่”
รูปแบบเค้กก้อนแรกได้ทำออกมาเสร็จแล้ว พวกเด็กๆ ตบมือด้วยความดีใจ บอกกับพี่พั่งยาว่าสวยมาก พี่พั่งยาสวย เค้กปลอมก็สวยเหมือนกัน พี่พั่งยายังสอนพวกเขาท่องกลอนอีก
ก่อนจะท่องกลอน ก็ท่องซ้ำของเมื่อวานก่อน เพื่อเป็นการทบทวนของเก่าแล้วค่อยมา เรียนรู้ของใหม่
อาจารย์น้อยซ่งฝูหลิงฟังพวกเด็กน้อยท่องกลอนไปและใช้เวลาว่างเทน้ำ เด็กพวกนี้ไม่สามารถได้กินแอปเปิ้ลให้หนึ่งคนต่อหนึ่งลูกได้ หมอก็อยู่ห่างไกล ไม่มีผลไม้อะไรให้ ยิ่งผักสดยิ่งไม่มีให้กิน ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ต้องดื่มน้ำเยอะๆ
หลังจากพวกเขาท่องกลอนเสร็จ นางก็พบว่าเด็กน้อยเหล่านี้เก่งมาก มีความจำดี ซ่งฝูหลิงจึงค่อยๆ สอนประโยคอื่นต่อไป
“เดือนสองหญ้าเจริญงอกงาม นกขมิ้นบินอยู่บนท้องฟ้า ต้นหลิวพริ้วไหวตามสายลมเสมือนสัมผัสเขื่อน…
…เด็กๆ เลิกเรียนกลับมาบ้านแล้ว ในช่วงที่ลมพัดมาก็รีบปล่อยว่าวสู่ท้องฟ้า”
นางมีเป้าหมายเล็กๆ ว่า ตอนที่ใช้เด็กๆ ทำงาน ยังไม่มีการเปิดเรียน นางจะสอนงานฝีมือให้กับพวกเขา และสอนให้พวกเขาท่องกลอน จดจำตัวอักษร เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย
เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง นางจะเสนอท่านพ่อให้ซื่อจ้วงหรือท่านอาเถียนสี่ฟาสอนพวกเขายิงธนู สอนทั้งเด็กๆ พวกนี้และสอนนางด้วย
เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาไม่เพียงแค่เรียนยิงธนู แต่จะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปวิ่ง ผูกกระสอบทรายไว้กับขาแล้ววิ่ง จะทำให้มีความสามารถขึ้นเขาลงแม่น้ำได้ดี ต่อไปเมื่อโอกาสอำนวย พวกเขาทั้งหมดก็ต้องเรียนขี่ม้าด้วย
เออ ถ้าในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ยังไม่สามารถหาม้ามาได้เพราะเงินไม่พอ ก็จะซื้อควายแก่ๆ หลายตัวมาทํานาแทน ขี่ควายก็ได้อยู่นะ
ขณะเดียวกัน ในเมืองถงเหยา
ท่านยายหวังหน้าแดงยืนทนความเหน็บหนาวอยู่หน้าโรงเตี๊ยม นางตบน่องใหญ่ของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาเมืองถงเหยา
ไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเองก็ไม่รู้ เมื่อเห็นแล้วก็ถึงกับตกใจ
พี่หม่าทำการค้าขายขนาดใหญ่ ร่วมมือทำกับโรงเตี๊ยมที่ใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้ นี่มันมีตั้งสามชั้นเลยนะ
“ยืดตัวตรง อย่าหดคอ ทำตัวให้สดชื่น มีชีวิตชีวา”
ท่านย่าหม่าคอยสั่งการ
“เอาผ้าคาดศีรษะออกมาให้เห็น มีชีวิตชีวากันหน่อย…
…ยามคนอื่นเห็นพวกเรา แม้เขาจะไม่ยิ้มให้กับพวกเรา ก็อย่าทำให้คนอื่นเห็นใบหน้าแก่ๆ เหี่ยวๆ ของพวกเราแล้วต้องถึงกับขมวดคิ้ว…
…ต่อไปพวกเราจะเดินไปที่ไหน ต้องจดจำไว้ พวกเราพี่น้องต้องอาศัยความมีชีวิตชีวาของพวกเรา บอกกับพวกเขา พวกเรายังไม่แก่ ใช่แล้ว รักษาอารมณ์ไว้ ไป”
แม่เฒ่าห้าคนเดินเชิดอก พวกนางถือซึ้งนึ่งขนมเดินเรียงเป็นแถวเข้าโรงเตี๊ยม
“เถ้าแก่ วันนี้กิจการดีนะ” ท่านย่าหม่าที่กอดซึ้งนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เถ้าแก่ที่กำลังดื่มน้ำชาสำลักออกมาทันที เขาถึงกับไอไม่หยุด แต่ก็อยากจะหัวเราะออกมาด้วย ส่วนเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังปัดกวาดอยู่นั้นก็อดขำออกมาไม่ได้
โดยปกติมีผ้าโพกหัวมากันสองคนก็ว่าแปลกแล้ว นี่มาในรูปแบบไหนกัน เอาแม่เฒ่าหลายคนจากที่ไหนมาเพิ่มอีก หน้าตาแปลกๆ รวมกันแล้วน่าจะมีอายุหลายร้อยปี
ธรรมดาก็คิดบัญชีตามปกติ แต่วันนี้เถ้าแก่รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะพวกแม่เฒ่าเมื่อได้เห็นเงินก็จ้องมองอย่างตั้งใจจนลืมไปว่าตนเองอยู่ที่ไหนในตอนนี้ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่มือของเขา
ท่านย่าหม่าอาศัยช่วงที่โรงเตี๊ยมยังไม่มีแขกมาพูดคุยกับเถ้าแก่
เมื่อพูดถึงเรื่องแรก นางก็บอกว่า “ท่านสามารถรับจองได้แล้ว”
“เอ๊ะ?”
ท่านย่าหม่าเหลือบมองพี่น้อง นางตั้งใจมองพวกที่มีผ้าโพกหัว แล้วก็หันมายิ้มให้กับเถ้าแก่ ในใจก็คิดว่า เจ้าไม่ต้องเอ๊ะ ไม่ต้องสงสัย ใครจะยอมปล่อยให้เงินหลุดลอยไป พวกข้าขยายกิจการใหญ่โตแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...