ท่านย่าหม่าเปิดม่านหน้าต่างรถ นางแหงนหน้ามองตลอด
มองถนนสายนั้น คิดรำพึงในใจ ถนนสายนี้ เมื่อก่อนได้ออกมาเดินบ่อยๆ แต่ต่อไปคงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว
มองถนนเส้นทางแคบทางเข้าหมู่บ้านต้าจิ่งชุน คิดในใจ เมื่อก่อนเวลาบอกว่ากลับบ้าน ก็คือการกลับบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ ไม่ว่าเดินทางไปไกลแค่ไหน บ้านจะทรุดโทรมขนาดไหน แต่ถ้าฟ้ามืดก็ต้องกลับบ้าน แต่ต่อไปก็ไม่รู้ว่าบ้านคือที่ไหนแล้ว
มองผืนดินที่เพิ่งไปเก็บข้าวโพดมา ถ้าเป็นเมื่อก่อน อย่าว่าแต่ทิ้งที่ดินสิบสามไร่เลย แค่ใครมาเอาเปรียบบนที่ดินของนางเพียงเล็กน้อย นางก็กล้าที่จะตอบโต้กับคนนั้นจนถึงที่สุด ต่อไปไม่มีแล้ว ไม่มีบ้าน ไม่มีที่ดิน
ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ ข้าอับจนหนทางแล้วจริงๆ
ทำไปก็เพื่อลูกหลาน ไม่มีลูกหลานจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม? ถ้าแบบนั้นก็ยิ่งไม่มีความหวัง ดังนั้น ขอทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้กับพวกท่านก่อนแล้วกัน
ยิ่งคิดก็ยิ่งทรมานจิตใจ หญิงชราเอามือกุมหน้า น้ำตาไหลลอดลงมาตามนิ้วมือ สักพักเสื้อผ้าด้านหน้าก็เปียกชื้น บ่าสั่นคลอนเพราะพยายามอดกลั้นไม่ให้ร้องไห้ แล้วก็มีเหมือนเสียงสะอึกออกมาจากทรวงอก
เฉียนหมี่โซ่วเขยิบตัวไปด้านหน้า เหลือบมองท่านย่าหม่า มั่นใจว่านางกำลังปิดบังใบหน้า มองไม่เห็นว่ากำลังทำอะไร เขาจึงใช้มือเล็กๆ ตีเรียกพี่สาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม
ซ่งฝูหลิงเงยหน้าขึ้นมอง
เฉียนหมี่โซ่วบุ้ยคางไปทางท่านย่าหม่าเพื่อบอกพี่สาว ท่านดู ย่าของท่านร้องไห้แล้ว
ซ่งฝูหลิงถอนหายใจในใจ ไม่เพียงจะไม่หันไปมองย่าของนาง ยังเบี่ยงตัวหันหน้าไปทางประตูแทน
นางคิดแค่ว่า ปล่อยให้ย่าร้องไห้ให้เต็มที่เถอะ แล้วก็ทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้ยินจะดีกว่า
เพราะในเวลาที่คนรู้สึกเศร้าโศกเสียใจมากที่สุด การปลอบใจที่ดีที่สุดที่คนอื่นจะมอบให้ได้คือการไม่ไปรบกวน นางก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน
แบบนี้ท่านย่าจะได้ไม่ต้องหนักใจในการร้องออกมา ร้องไห้ให้เต็มที่ ไม่ว่าจะคิดได้หรือไม่ ก็ต้องมองไปที่อนาคตข้างหน้า
ซ่งฝูหลิงแอบใช้มือขวานวดแขนข้างซ้ายและใช้มือซ้ายนวดแขนข้างขวา สุดท้ายนางก็นำมือทั้งสองมาประกบกัน ออกแรงให้สิบนิ้วมาประชิดกัน ปรากฏว่ามือยังสั่น วิธีนี้ไม่ได้ผล นางจึงใช้ขาทั้งสองข้างหนีบมือเอาไว้
มือทำไมถึงสั่น? หรือเพราะแกะข้าวโพดจนเหนื่อย
ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ก็ต้องพยายามมองในแง่ดี นางครุ่นคิดในใจ
แค่การแก่งแย่งกันเมื่อครู่ หากนางอยู่ในยุคปัจจุบันและมีเรี่ยวแรงเหมือนเมื่อกี้ คงไม่มีใครสู้ได้
ตัวอย่างเช่น การร่วมแสดงในรายการทางโทรทัศน์ ที่มีการจับเวลาให้คนไปแย่งของในซุปเปอร์มาร์เก็ต แย่งมาได้มากเท่าไรก็ถือว่าของเหล่านั้นเป็นของตนเอง คงเป็นเหมือนรายการแบบนั้น หากนางใช้แรงเหมือนเมื่อครู่ก็คงชนะแล้ว
หากให้คนโบราณยุคนี้เข้าร่วมรายการโดยใช้เรี่ยวแรงเหมือนการเก็บข้าวโพดนั่น ชั้นวางของในห้างก็คงถูกรื้อกระจุยไปหมดแน่
คิดถึงตรงนี้ ปากก็เผลอยิ้มออกมา
แต่การเผลอยิ้มในตอนนี้ช่างไม่ถูกจังหวะ
ท่านย่าหม่าร้องไห้ไปสักพัก เมื่อเอามือลง ก็เห็นหลานสาวคนเล็กกำลังยิ้ม ทำให้นางโมโหขึ้นมาทันใด
“ข้าร้องไห้ เจ้าเลยหัวเราะ?”
“เอ๊ะ?” ซ่งฝูหลิงถึงกลับตกใจ หันหน้าไปมองย่าของนาง
“ยังจะเอ๊ะอีก เจ้าเด็กคนนี้นี่ ซื่อบื้อหรืออะไร ตอนนี้มีแต่เรื่องหนักอึ้งในใจ เจ้าหัวเราะอะไรกัน ตอนนี้มีอะไรที่ทำให้เจ้าหัวเราะได้? เรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าสนใจถึงขนาดไม่คิดถึงเรื่องครอบครัวตนเอง เจ้ายังมีความสุขอยู่รึ? ”
“เปล่านะ ข้าไม่ได้หัวเราะ”
“เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือไง!”
“ฟ้ามืดขนาดนี้ ท่านจะมองเห็นชัดเจนได้อย่างไร บางทีอาจมองผิดไปก็ได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...