เกาเถี่ยโถวสอบถาม “อาสาม พวกเราควรจะทำอะไรต่อไปดี พ่อของข้าคิดจนปวดหัวแล้ว”
ซ่งฝูเซิงชี้ที่อยู่ห่างไกลออกไป “นั่น มาแล้ว”
เกาถูฮู่พยุงลุงหลี่เจิ้งมา ด้านหลังบุตรชายคนโตของหลี่เจิ้งมีตัวแทนของแต่ละบ้านเดินตามมา กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
ซ่งหลี่เจิ้งสูบไปป์จีนไปสองทีก่อนเอ่ยขึ้น “เลยเที่ยงคืนไปแล้วใช่ไหม?”
“น่าจะใช่”
“ฝูเซิง เจ้าลองพูดมาสิว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรต่อไป”
ชายฉกรรจ์หลายคนล้อมวงคุยกัน ไฟที่ลุกโชนจากกองฟืนที่สุมกัน เผยให้เห็นใบหน้าอันเคร่งเครียดของพวกเขา
ซ่งฝูเซิงครุ่นคิดไปมา “ยังคงต้องเดินทางต่อไปข้างหน้า สถานที่นี้ยังไม่ปลอดภัย ยังอยู่ในเขตแดนคนอื่น อย่ามองว่าตอนนี้มันค่ำมืดมากแล้ว แต่ใจของข้าก็รู้สึกหวั่นไม่น้อย ไม่สามารถเอาชีวิตคนมาล้อเล่นได้ พวกเจ้าว่าจริงไหม?”
พี่เขย เทียนสี่ฟา กลับไม่เห็นด้วย “ข้ารู้สึกว่าฝนใกล้จะตกแล้ว หากฝนตกจะเป็นปัญหาใหญ่ คนก็ไม่รู้จะทนได้แค่ไหน พวกสัตว์คงทรมานจากการสำลักน้ำฝน หรือว่าพวกเราจะหลบอยู่บนภูเขาดีไหม? พักสักคืนหนึ่งเถอะ แล้วพรุ่งนี้คอยดูสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร”
พูดจบก็พบว่าซ่งฝูเซิงมองเขาด้วยความประหลาดใจ เถียนสี่ฟาอธิบายต่อ “เมื่อครู่ข้านั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น ข้าเห็นมีมดหลายร้อยตัว เดินเรียงกันหลายแถวมารวมตัวกัน มีคําพูดเก่าพูดต่อกันมามิใช่หรือ มดเดินกันเป็นแถว ฝนจะตกหนัก มดย้ายบ้าน ฝนตกอย่างรุนแรง”
หลังจากที่ทุกคนได้ฟังก็แหงนหน้ามองดูดวงดาวอย่างงุนงง ต่างก็บ่นพึมพําในใจว่าจริงใช่ไหม?
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะประสบภัยพิบัติไม่รุนแรงเท่าทางตอนใต้ แต่ก็ค่อนข้างแห้งแล้งมาตลอด การเก็บเกี่ยวผลผลิตในปีนี้ลดลงมากกว่าปีก่อนเยอะ ทำไร่ก็ต้องอาศัยการรดน้ำ คําพูดเก่าแก่ที่พูดต่อกันมาว่าฝนจะตก ไปฟังมาจากไหน?
เกาถูฮู่ เกาเถี่ยโถว
ลูกชายคนที่สอง เกาเถี่ยโถว ของเกาถูฮู่พยักหน้าเห็นด้วย “ลุงเถียนของข้าอาจจะพูดถูก พวกเจ้าไม่ได้สังเกตหรือ? วันนี้ยุงบินมากัดคนเยอะเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับวันอื่น เจ้าตบมันตายไป พวกมันก็ยังบินมาตอมใบหน้าเจ้าไม่หยุด”
เมื่อพูดเช่นนี้ จากที่ทุกคนบ่นพึมพำในใจก็เริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
เพราะท้องถิ่นของพวกเขาก็มีคําพูดเก่าแก่เช่นกัน แต่ไม่ใช่ที่เถียนสี่ฟาพูดออกมา แต่เป็นว่า ยุงกัดคนเรื่อยๆ ไม่นานฝนจะตก ยุงกัดอย่างดุเดือด ฝนจะตกภายในสามวัน คําพูดโบราณนี้ ทุกคนต่างเห็นด้วย
ลูกชายคนโตของซ่งหลี่เจิ้งพูดอย่างร้อนรน “เตีย ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้สิ ถ้าฝนตกพวกเราจำเป็นต้องหาที่พักจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นไกล แค่ข้าวโพดที่พวกเราเด็ดมา ไหนจะยังมีข้าวสาลีที่พวกเราเก็บจนเย็นชื้น ไม่ได้ตากแดดให้แห้งอาจขึ้นรา?”
ซ่งฝูเซิงมองพี่เขยของเขาอีกครั้ง “พี่เขย ท่านเดินเข้าไปข้างในภูเขาลูกนั้นหรือยัง?” ”
“เคยเดินผ่านไปแล้ว ยิ่งเดินไกลออกไป ยิ่งทุรกันดาร ทั้งปีก็เป็นแบบนี้” พูดถึงตรงนี้เถียนสี่ฟาก็หยุดชะงักนิดหนึ่ง ครุ่นคิดไปมาก็ไม่มีอะไรจะพูด มาถึงขั้นนี้แล้ว หนังเสือของเขาก็ขายให้พ่อค้าลักลอบขายเกลือ คนเหล่านั้นล้วนทำงานเสี่ยงอันตราย หากถูกจับได้ก็ต้องถูกตัดหัว
พูดต่อ
“เมื่อก่อนข้าได้ยินพ่อของข้าเล่าว่า พื้นที่ด้านนี้ของพวกเราค่อนข้างห่างไกลความเจริญ มีเพียงพวกที่แอบค้าขายเกลือที่ไม่กลัวตาย มักเดินอ้อมด้านหลังภูเขาของพวกเราไปทางถนนสายเล็กเพราะเป็นทางลัด…
…และตลอดเส้นทางไม่มีใครเลย มองออกไปมีแต่ความรกร้าง ไม่มีสถานที่ให้หลบซ่อนตัว…
…ห่างออกไปอีกประมาณร้อยลี้ ยังมีภูเขาลูกหนึ่ง พวกเจ้าเดินอ้อมไปจะเห็นว่ามันใหญ่กว่าภูเขาลูกนี้ของพวกเรามาก กล่าวกันว่าข้างบนมีโจรภูเขา ตอนนี้ยังมีอยู่หรือไม่ข้าก็ไม่แน่ใจนัก”
ซ่งหลี่เจิ้งถูกไปป์ลวกปาก เขารีบเช็ดหนวด
ใจก็คิด พับผ่าสิ ไม่มีทางรอดแล้ว
เดินหน้าต่อไปก็อาจเจอโจรภูเขา คนเหล่านั้นคงเล่นงานถึงตาย
ในอนาคตก็ยังไม่มีความแน่นอนว่า เมื่อไหร่จะมีเจ้าหน้าที่และทหารเข้ามาจับกุมคนพวกนี้ได้ ที่รู้สึกกลัวก็เพราะแบบนี้แหละ พวกเขาถึงได้หลบหนีออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...